เทพฟ้าคนหนึ่งถือเป็นเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในพิภพกลางทั่วไป แต่ทว่าจากการที่ระดับของพิภพสูงขึ้น เทพฟ้าก็จะไร้ค่าอย่างเห็นได้ชัด
การที่หลัวซิวเดินทางมายังโลกาดาราอุดรในครั้งนี้นั้น เขามาเพราะค่ายวาร์ฟล่องหน ด้วยเหตุนี้เมื่อจินหลิงหยุนพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เกิดความคิดที่จะเปลี่ยนใจแล้วจริง ๆ
“แซ่หลัวอยากมุ่งหน้าไปยังโลกะอัมพรเทวมากจริง ๆ แต่ทว่าหากข้าได้รับสิทธิ์ในการใช้ค่ายวาร์ฟล่องหนแล้ว เงื่อนไขที่ข้าต้องชดใช้นั้นคือกระไรหรือ?”หลัวซิวถาม
“ผู้เพื่อนยุทธ์สามารถเข้าร่วมสำนักเทียนเจี้ยนของเราได้ จากศักยภาพของเจ้าและการรับรองจากข้า เพียงพอที่จะเป็นผู้คุมกฎอาวุโสได้เลย หรือผู้เพื่อนยุทธ์จะเป็นผู้อาวุโสเค่อชิงในสำนักเทียนเจี้ยนเราก็ได้ ขอเพียงสร้างคุณูปการในศึกการช่วงชิงสิทธิ์ในการใช้ค่ายวาร์ฟล่องหน ก็จะได้รับสิทธิ์นั้นโดยปริยาย!”จินหลิงหยุนตอบกลับเช่นนี้
และในเวลานี้เอง ลำแสงสามสี่แสงก็บินตรงมาทางพวกเขา มาถึงภายในชั่วลมหายใจเดียว ในสายตาของหลัวซิวและจินหลิงหยุนมีเงาร่างสามสี่ร่างปรากฏ
หนึ่งในนั้นมีชายหน้าม้าคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาหม่นหมอง สายตาร่วงลงบนตัวจินหลิงหยุนพลางอมยิ้ม “ได้ยินมาว่ามีทัณฑ์สายฟ้าพิโรธรวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ ผู้อาวุโสจินได้รับสมบัติบางอย่างมาใช่หรือไม่?”
“ผู้อาวุโสโจวมาสายไปหน่อย แต่ทว่าสาเหตุที่ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธรวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้นั้น ไม่ใช่เพราะมีสมบัติบังเกิดในโลกแต่อย่างใด แต่เป็นผู้เพื่อนยุทธ์หลัวผู้นี้ข้ามผ่านทัณฑ์”จินหลิงหยุนเอ่ยปากตอบกลับ
สายตาของคนเหล่านั้นที่มีชายหน้าม้าเป็นผู้นำต่างมองมาทางหลัวซิว ทว่าพลังออร่า ณ วินาทีนี้ของหลัวซิวได้เก็บซ่อนเข้าไปหมดแล้ว ทำให้พวกเขาสัมผัสไม่ได้ว่าแดนผลการฝึกตนของเขาเป็นอย่างไรกันแน่
หลัวซิวก็สังเกตเห็นคนเหล่านี้แล้วเช่นกัน ผลการฝึกตนของทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นเจ้านภาชั้นยอด ประเมินจากสรรพนามที่เรียกแทนกันแล้ว คนเหล่านี้รวมไปถึงจินหลิงหยุนต่างเป็นผู้อาวุโส
ทันใดนั้น ชายหน้าม้าที่แซ่โจวนั่นก็พลิกมือหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมา หยกชิ้นนั้นเปล่งแสงริบหรี่ และแสงดังกล่าวกำลังค่อย ๆ เข้าไปใกล้หลัวซิวอย่างรางเลือน
“เหตุใดบนตัวเจ้าถึงมีออร่าของศิษย์ข้า?”
แววตาของชายหน้าม้าเย็นเยือกลงไปในทันที กระบี่สีดำเล็ก ๆ หนึ่งเล่มบินออกมาจากกลางหว่างคิ้วเขา ลอยวนอยู่เหนือศีรษะ
“ผู้อาวุโสโจวหมายความว่าอย่างไร? ผู้เพื่อนยุทธ์หลัวเป็นสหายของข้า เขาจะมีความเกี่ยวข้องกับศิษย์เจ้าได้อย่างไร?”จินหลิงหยุนขมวดคิ้ว
ต่างเป็นผู้อาวุโสในสำนักเทียนเจี้ยนเหมือนกัน แต่ทว่าตำแหน่งฐานะของจินหลิงหยุนค่อนข้างสูง เนื่องจากเขามีผลการฝึกตนอยู่ที่กึ่งราชาเทพ ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายของสำนักเทียนเจี้ยน ก็มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้
ชายหน้าม้าแซ่โจว ซึ่งมีนามว่าโจวชิง เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักเทียนเจี้ยน
สำนักเทียนเจี้ยนเป็นกองกำลังระดับราชาเทพที่มีเจ้านภาชั้นยอดเป็นผู้นำ ดังนั้นผลการฝึกตนของโจวชิงผู้นี้จึงอยู่ในระดับนี้
เขากำลังกำหยกชิ้นหนึ่งที่มีแสงเรืองเปล่งประกายอยู่ในมือ พลางจ้องเขม็งไปทางหลัวซิวด้วยแววตาที่ร้อนผ่าว “สิ่งยืนยันของข้าไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน!”
หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย มีแสงสว่างไสวกระพริบผ่านกลางหว่างคิ้วไป จากนั้นก็มีเงาดำร่างหนึ่งบินออกมา และปรากฏเป็นรูปร่างของหลี่เสวียนซิง
“ผู้นี้คือศิษย์ของผู้อาวุโสโจวใช่หรือไม่?”เขาถามอย่างเรียบนิ่ง
“เสวียนซิง!”
“อาจารย์?”
หลังจากที่หลี่เสวียนซิงถูกปล่อยออกมา เมื่อเขาเห็นหน้าโจวชิง สีหน้าเขาก็ดูดีใจขึ้นมาในทันที รีบใช้นิ้วชี้ไปทางหลัวซิว “อาจารย์ รีบช่วยศิษย์สังหารเจ้าโจรนี่ด้วยขอรับ!”
ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ สีหน้าของหลัวซิวก็ดูปกติมาตลอด สีหน้าของโจวชิงนั่นหม่นหมอง จ้องเขม็งไปทางหลัวซิว “เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
จินหลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เขาเข้าใจโจวชิงดีมาก ๆ คนดังกล่าวจะปกป้องศิษย์ของตนถึงขีดสุดเลยล่ะ
“เจ้าจะให้แซ่หลัวอธิบายอะไรต่อเจ้า?”หลัวซิวเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา น้ำเสียงมีความเย็นเยือกปนอยู่เล็กน้อย
จากศักยภาพ ณ ปัจจุบันของเขา เขาไม่นำเจ้านภาชั้นยอดมาไว้ในสายตาด้วยซ้ำ แต่โจวชิงผู้นี้กลับพูดฉอด ๆ ต่อหน้าตน นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกรำคาญมาก
“เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก!”
มีความหม่นหมองปรากฏบนใบหน้าโจวชิงเล็กน้อย “ข้าก็อยากทราบเช่นกันว่าเจ้ามีความสามารถอะไร ถึงขั้นกล้ากักขังศิษย์ในสำนักเทียนเจี้ยนของข้า!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น โจวชิงก็สบัดแขนเสื้อที่กว้างใหญ่ หกระเหินเดินฟ้าตรงไปทางหลัวซิว