สีหน้าท่าทางของหลัวซิวดูปกติ เขาไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดหลี่เสวียนซิงถึงถูกเขากักขัง หากผู้อื่นสอบถาม บางทีเขาอาจจะตอบกลับอยู่ แต่ทว่าโจวชิงผู้นี้หยิ่งยโสโอหัง พูดฉอด ๆ หลัวซิวจึงรู้สึกไม่มีค่าควรที่จะอธิบายกับเขา
ในส่วนของเรื่องการลงไม้ลงมือนั้น เขายิ่งไม่เกรงกลัว เพราะการจะสังหารเจ้านภาชั้นยอดกระจอก ๆ คนหนึ่งนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากอะไร
เหล่าผู้อาวุโสสำนักเทียนเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังโจวชิงต่างแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น แววตาที่มองไปทางหลัวซิวมีความเหยียดหยามปนอยู่เล็กน้อย ถึงแม้พวกเขาจะมองทะลุผลการฝึกตนของคนดังกล่าวไม่ได้ก็ตาม แต่คิดว่าผลการฝึกตนของเขาก็คงไม่สูงเท่าไหร่นัก
“ผู้อาวุโสจิน เหตุใดเจ้าถึงต้องคลุกคลีกับผู้ที่หยิ่งผยองโง่เขลาประเภทนี้ด้วยเล่า?”
“คนดังกล่าวหลงระเริงเกินไปหรือเปล่า ผู้อาวุโสโจวชิงคือเจ้านภาชั้นยอด มาตรแม้นว่ามันจะมีความสัมพันธ์กับอาวุโสจินอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ควรทำตัวจองหองพองขนเช่นนี้”
“สุดท้ายแล้วผู้อาวุโสจินก็ยังเป็นคนของสำนักเทียนเจี้ยนของเราอยู่ดี เวลาเช่นนี้เขาคงไม่เข้าข้างคนนอกหรอกกระมัง?”
ผู้อาวุโสสองคนที่มาพร้อมกับโจวชิงคุยด้วยคำพูดที่มีนัยยะแฝงอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ผลการฝึกตนของพวกเขาจะต่ำกว่าจินหลิงหยุน ทว่าดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้เกรงกลัวและเคารพจินหลิงหยุนมากเท่าไหร่นัก
บนใบหน้าของหลี่เสวียนซิงมีรอยยิ้มที่ดูเย็นเยือกปรากฏ เขานึกคิดในใจว่าคนดังกล่าวบังอาจมารุกรานตัวเอง ครั้งนี้มีอาจารย์ลงมือด้วยตัวเอง เขาต้องได้ตายอย่างแน่นอน!
เมื่อเห็นว่าโจวชิงปลดปล่อยพลังอำนาจของเจ้านภาชั้นยอดออกมา ในระหว่างที่หกระเหินเดินฟ้า ร่างเขาก็มาถึงตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย หลัวซิวกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น แล้วหันไปมองจินหลิงหยุนที่อยู่ข้าง ๆ รอบหนึ่ง
การมองในครั้งนี้ทำให้จิตใจของจินหลิงหยุนเคร่งขรึมขึ้นมา โจวชิงทั้งสามไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของคนดังกล่าว แต่ทว่าเขากลับทราบอย่างลึกซึ้งเลย ทันทีที่ลงไม้ลงมือกัน ผู้อาวุโสโจวชิงอาจจะถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียวเลยก็เป็นได้!
แม้ผลการฝึกตนของโจวชิงผู้นี้จะเป็นเพียงเจ้านภาชั้นยอด แต่ทว่าตัวตนของเขากลับไม่ธรรมดา เพราะเขากำเนิดมาจากตระกูลโจว
ในโลกาดาราอุดร สำนักเทียนเจี้ยนถูกเรียกว่าเทียนเจี้ยนตระกูลโจวซึ่งหมายความว่าอำนาจทั้งหมดของสำนักเทียนเจี้ยนล้วนถูกยึดกุมโดยสายเลือดตระกูลโจว
เจ้าสำนักราชาเทพเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเทียนเจี้ยน ซึ่งเขาก็คือนายท่านตระกูลโจวนั่นเอง นอกเหนือจากนี้แล้วตระกูลโจวยังมีกึ่งราชาเทพอีกสามคน ซึ่งอาวุโสกว่าจินหลิงหยุนเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ สาเหตุที่ผลการฝึกตนและศักยภาพของจินหลิงหยุนไม่ธรรมดานั้น เป็นเพราะพรสวรรค์และศักยภาพของเขาค่อย ๆ สร้างผลสำเร็จให้เขาทีละก้าว แต่ทว่าเมื่ออยู่ในการจัดสรรอำนาจของระดับสูงในสำนักเทียนเจี้ยนแล้ว เขาก็จะถูกผู้อาวุโสในตระกูลโจวกีดกันอยู่บ่อยครั้ง
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่โจวชิงกล้าลงมือต่อหลัวซิว โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าจินหลิงหยุนบอกว่าหลัวซิวเป็นสหายตน
“ผู้อาวุโสโจว อย่ามากเกินไปหน่อยเลยนะ”
และในเวลานี้เอง จินหลิงหยุนก็ก้าวเท้าขึ้นไปหนึ่งก้าว ปลดปล่อยคลื่นผลการฝึกตนระดับกึ่งราชาเทพออกมารอบกาย ทำให้พลังออร่าของโจวชิงนั่นหายไปในทันที และถอยหลังกลับไปติดต่อกันสามก้าว
โจวชิงมองหลัวซิวด้วยสายตาที่เยือกเย็นรอบหนึ่ง จากนั้นเขาก็มองมาทางจินหลิงหยุนพลางพูดกดเสียงต่ำ: “ผู้อาวุโสจิน นี่เจ้ากำลังจะช่วยคนนอกหรือ?”
“คนดังกล่าวกักขังเสวียนซิงศิษย์ของข้า นี่เป็นความจริงที่เจ้าและข้ามองเห็นเป็นประจักษ์ ผู้น้อยที่ไม่ทราบประวัติความเป็นมากลับกักขังศิษย์ในสำนักเทียนเจี้ยนของข้า มันต้องเป็นผู้ที่ใจคอเลวทรามยากแท้หยั่งคะเนแน่นอน สมควรปราบปราม!”
“ผู้อาวุโสโจวกล่าวเช่นนี้มันไม่ค่อยถูกเลยนะ ในเมื่อสหายหลัวปล่อยตัวเสวียนซิงออกมานั้น ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นผู้ที่จิตใจเปิดเผยตรงไปตรงมามากเพียงใด ไม่มีจิตใจที่จะทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย”
จินหลิงหยุนแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น “อีกทั้งอุปนิสัยของเสวียนซิงศิษย์เจ้าเป็นอย่างไรนั้น เจ้าและข้าต่างรู้ดีแก่ใจ คาดว่าเขาน่าจะรุกรานสหายหลัวก่อน และการที่สหายหลัวไม่ฆ่าเขานั้น ก็ถือเป็นการไว้หน้าสำนักเทียนเจี้ยนของเราแล้ว”
“ผู้อาวุโสจินหมายความว่าอย่างไร? เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่เจ้ากำลังเข้าข้างคนนอกใช่หรือไม่? มาตรแม้นว่าเสวียนซิงจะไปรุกรานมัน ถึงจะมอบความกล้าให้มันแล้วมันจะกล้าฆสังหารหรือ?”โจวชิงตวาดด้วยแววตาที่มีความเหยียดหยามแฝงซ่อน
เมื่อเห็นว่าโจวชิงหยิ่งยโสโอหังเช่นนี้ แววตาของจินหลิงหยุนก็ดูดุดันขึ้นมาเช่นกัน “โจวชิง แซ่จินขอเตือนเจ้าไว้ก่อนว่าสำรวมหน่อยจะดีกว่า มิเช่นนั้นไม่แน่สักวันเจ้าอาจจะรุกรานผู้ที่เจ้ารุกรานไม่ได้ แล้วจะได้ตายโหงเอา”