วิถียุทธ์ตั้งแต่เทพมารเป็นต้นไป แดนยิ่งสูงระยะความต่างก็ยิ่งมาก ระยะความต่างระหว่างเทพฟ้าถึงราชาเทพนั้น เทียบเท่ากับมหาจักรพรรดิยุทธ์และราชาเทพ ส่วนระยะความต่างระหว่างราชาเทพและมกุฎเทพนั้น แทบจะเทียบเท่ากับระยะความต่างระหว่างมหาจักรพรรดิยุทธ์และราชาเทพเลย
ไม่ว่าจะเป็นกึ่งราชาเทพที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยากที่จะต้านทานการโจมตีหนึ่งของราชาเทพ และไม่ว่าจะเป็นราชาเทพที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็ยากที่จะต้านทานสายตาหนึ่งของมกุฎเทพ หรือความคิดหนึ่งของมกุฎเทพ
แต่ทว่าหลัวซิวกลับอยู่ในสภาพการณ์ที่พิเศษ การฝึกตนของเขาแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปตั้งแต่รากฐานแล้ว รากฐานในทุก ๆ ย่างก้าวของเขาล้วนอยู่เหนือขีดจำกัดแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังออร่าของมกุฎเทพ หลัวซิวก็รู้สึกเหมือนกำลังประจันหน้ากับทะเลใหญ่ ส่วนตัวเองนั้นกลับเป็นเพียงมดตัวเล็กตัวหนึ่ง
“ปัจจุบันข้าเป็นราชาเทพ กำลังรบเทียบเท่ากึ่งราชาเทพ แต่ถึงแม้จะฝึกตนจนบรรลุถึงแดนเทพฟ้า ก็ไม่มีทางมีศักยภาพที่เทียบเท่าราชาเทพอย่างแน่นอน มากสุดก็แค่สามารถอาศัยอุบายพิเศษบางอย่างต่อกรและรับมือกับราชาเทพได้เล็กน้อย”
วินาทีนี้ หลัวซิวราวกับเห็นว่าตรงหน้าตัวเองมีเส้นทางหนึ่งทาง ซึ่งเส้นทางดังกล่าวไม่ใช่วิถีโบราณดารากาลที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นวิถียุทธ์ของเขาเอง
ไม่มีการยกระดับของแดนจิตและผลการฝึกตนศักยภาพก็ไม่มีการแปรเปลี่ยนเช่นกัน ดูไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นกับหลัวซิว เขากระพริบตาด้วยสภาพจิตใจที่เงียบสงบ
พลังอำนาจอันน่าเกรงขามที่มากมายมหาศาลจนมิอาจคาดเดาได้ในแดนปริศนามกุฎเทพ ก่อตัวเป็นพายุที่โหมพัดอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับคำรามเสียงดัง ทำให้ทุกคนที่ร่วงลงบนวิถีโบราณดารากาลอาจควบคุมร่างกายไม่ได้และถูกพัดพาไป
วิถีโบราณดารากาล เป็นข้อต่อสำคัญของแดนปริศนาแห่งนี้ และนั่นก็คือถนนหินอันคดเคี้ยวที่เชื่อมไปยังส่วนลึกของแดนปริศนานั่นเอง เล่ากันว่ายิ่งเดินบนวิถีโบราณดารากาลได้ไกลมากเท่าไหร่ โอกาสและโชคชะตาที่ได้รับก็จะยิ่งมากเท่านั้น
ทันใดนั้น ลำแสงสายรุ้งยาวสองแสงก็มาถึงภายในเวลาชั่วลมหายใจเดียว ซึ่งวัตถุประสงค์ของแสงดังกล่าวคือพุ่งเข้าไปในแดนปริศนามกุฎเทพในระลอกคลื่นเจ็ดดวงดาว
“ผู้ใดบังอาจทำตัวโอหังในเมืองเทวะดาราอุดรของข้า?”
มหาเทวะดาราอุดรตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว มือใหญ่ที่มีร่องรอยกฎกระจัดกระจายไปทั่วกดอัดห้วงอากาศอันว่างเปล่า ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
“แค่อาศัยเจ้าน่ะยังขัดขวางข้าไว้มิได้”
เสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังออกมาจากลําแสงสายรุ้งยาวนั่น หมอกดำซัดสาดออกมาแผ่คลุมไปทั่วท้องฟ้า และกลายเป็นหัวกะโหลกที่ใหญ่โตมหึมาอันหนึ่ง ปราณปีศาจม้วนกลิ้งไปมา ดูมืดทึมน่ากลัว
“แคว็ก!”
หัวกะโหลกสีดำนั่นอ้าปากแล้วกัดทีหนึ่ง ก็ทำให้ปรมาจารย์แห่งกฎที่มหาเทวะดาราอุดรปล่อยออกมาถูกกัดจนแตกสลาย ลําแสงสายรุ้งยาวสองแสงนั่นรีบคว้าโอกาส หายเข้าไปในระลอกคลื่น เข้าไปในแดนปริศนามกุฎเทพภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว
“ไอ้ชาติชั่ว!”
มหาเทวะดาราอุดรโกรธเกรี้ยวอย่างมาก เสียงของเขาดังกระหึ่มดั่งฟ้าผ่า จากนั้นเงาร่างแต่เขาก็ปรากฏ
เมื่อนักยุทธ์จากกองกำลังทั้งหลายเห็นร่างแท้ของมหาเทวะปรากฏ พวกเขาจึงพากันก้มคำนับด้วยความเคารพ ทว่าบนใบหน้าก็มีรังสีแห่งความกังวลปนอยู่ด้วย
เนื่องจากลำแสงสายรุ้งยาวสองแสงในเมื่อครู่นี้ สามารถต้านทานการลงมือโจมตีอย่างเด็ดขาดของมหาเทวะดาราอุดร เห็นได้ชัดเจนมาก ๆ ว่าทั้งสองก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพเช่นกัน
15 คนจากกองกำลังใหญ่ราชาเทพทั้งห้ายังอยู่ภายในแดนปริศนามกุฏเทพ วินาทีนี้จู่ ๆ ก็มีราชาเทพที่ไม่ทราบประวัติความเป็นมาปรากฏสองคน มีตัวแปรเพิ่มขึ้นในทีเดียว จะทำให้พวกเขาไม่กังวลได้อย่างไร?
แววตาที่หม่นหมองของมหาเทวะดาราอุดรจ้องเขม็งไปที่ทางเข้าระลอกคลื่น ก่อนที่เขาจะกลายร่างเป็นรุ้งยาวบินเข้าไปอย่างไม่ลังเลใจ แต่ทว่าในขณะที่เขาประชิดใกล้เข้าทางเข้าระลอกคลื่นอยู่นั้น
ทันใดนั้นเอง พลังแห่งการกีดกันที่แข็งแกร่งมาก ๆ พลังหนึ่งก็ขัดขวางเขาไว้ด้านนอก ไม่สามารถเข้าไปได้!
“ว่าอย่างไรนะ! ……”
เสี้ยววินาทีนี้ ทุกคนล้วนตกตะลึงจนหน้าถอดสี มหาเทวะดาราอุดรไม่สามารถเข้าไปในแดนปริศนามกุฎเทพได้อย่างนั้นหรือ?
ในขณะเดียวกัน มู่หมิงที่อยู่ภายในห้วงดาราแดนปริศนามกุฎเทพ ใช้มือทั้งสองข้างประสานอินปล่อยวรยุทธ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง พลางกระตุกยิ้มมุมปาก “แดนปริศนาถูกข้าใช้พลังอมตะผนึกไว้แล้ว จะไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาได้อีก”
ในขณะเดียวกัน เงาสะท้อนที่ทำให้ผู้คนโลกภายนอกสามารถมองเห็นเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนปริศนาก็ค่อย ๆ หายไปเช่นกัน เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนปริศนามกุฎเทพถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
……