กาลเวลาผ่านมายาวนานอย่างไม่รู้จบ ทุกครั้งที่ค่ายวาร์ฟล่องหนถูกเปิดออก ก็จะมีคนจากโลกอื่น ๆ เดินทางมายังโลกดาราอุดร อยากมุ่งหน้าไปสู่โลกะอัมพรเทว เพราะฉะนั้นกองกำลังในโลกาดาราอุดรจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือกีดกันต่อเรื่องนี้
สำหรับสำนักเทียนเจี้ยนแล้ว ขอเพียงหลัวซิวสามารถช่วยทางสำนักได้รับสิทธิ์ในการมุ่งไปยังโลกะอัมพรเทวมากขึ้น เช่นนั้นก็จะเป็นผลสำเร็จที่ดีที่สุด
คิ้วที่กำลังขมวดอยู่ของหลัวซิวไม่ได้คลายออก มู่หมิงและจี้เฟิงทั้งสองคนเข้ามาหลังจากเขา ส่วนทางเข้าแดนปริศนามกุฎเทพนั้นคือระลอกคลื่นเจ็ดสีที่อยู่เหนือนภาเมืองเทวะดาราอุดร
ขณะที่จี้เฟิงและมู่หมิงบุกรุกเข้ามา ไม่มีทางปิดบังมหาเทวะดาราอุดรได้แน่นอน
ทันทีที่ออกไปจากที่นี่ และถูกผู้อื่นทราบว่าราชาเทพทั้งสองเสียชีวิตอยู่ในเงื้อมมือเขา ถึงแม้จะมีกฎเกณฑ์การกดอัดในแดนปริศนามกุฎเทพมาปิดบังอำพรางความจริงได้ แต่ก็ต้องก่อให้เกิดการระแวงจากคนจำนวนมากอย่างแน่นอน บวกกับแหวนเก็บของและสมบัติทั้งหมดของราชาเทพทั้งสองล้วนตกอยู่ในกำมือเขา แค่นี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดกิเลสของเหล่าผู้แข็งแกร่งราชาเทพได้แล้ว!
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ จิตที่จะฆ่าก็ผุดขึ้นมาในหัวใจหลัวซิว ดวงตาที่เย็นเยือกกวาดผ่านทั้ง 12 คนจากกองกำลังใหญ่ราชาเทพสี่กองกำลัง
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
นักยุทธ์ทั้ง 12 คนต่างแสดงสีหน้าหวาดกลัวและเตรียมป้องกัน เพียงสายตาเดียวที่มองมา ก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกกระบี่ที่เฉียบคมทะลวงร่างยังไงอย่างนั้น
“สหายหลัวอย่าใจร้อน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแดนปริศนาจะก่อเป็นเงาสะท้อนปรากฏในโลกภายนอก หากเจ้าฆ่าพวกเขา ผู้คนจากโลกภายนอกก็มองเห็นได้เช่นกัน”จินหลิงหยุนพูดเสียงต่ำอยู่ข้างกายหลัวซิว
“ผู้อาวุโสหลัวไม่ต้องพะวงใด ๆ เลย ขอเพียงเจ้าสามารถช่วยทำให้สำนักเทียนเจี้ยนของข้าได้รับอันดับหนึ่งจากศึกการช่วงชิงสิทธิ์ในครั้งนี้ ทั่วทั้งโลกาดาราอุดรจะไม่มีผู้ใดบังอาจแตะต้องตัวเจ้า”โจวเจิ้งที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มพลางพูด
คำพูดนี้ฟังดูเผด็จการมาก ๆ ทว่าโจวเจิ้งมีคุณสมบัติพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาอยู่ เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโจว ซึ่งเป็นตัวแทนของตระกูลโจว และตระกูลโจวก็เป็นเจ้าของสำนักเทียนเจี้ยนด้วย!
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกองกำลังใหญ่ราชาเทพทั้งห้า ประวัติการถ่ายทอดสืบสานของสำนักเทียนเจี้ยนยาวนานอย่างยิ่ง หากพวกเขาต้องการคุ้มกันคนคนหนึ่ง ผู้ใดจะกล้าแตะต้องบ้าง?
มาตรแม้นว่าเป็นกองกำลังใหญ่ระดับราชาเทพอีกสี่กองกำลังที่เหลือก็ต้องไตร่ตรองดี ๆ ว่ากองกำลังใหญ่ราชาเทพต้องเปิดศึกสงครามกัน เพราะคนคนหนึ่งนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่
“ได้!”
หลัวซิวพยักหน้า เงาร่างเขากระพริบ ปีกเทพมังกรครามยักษ์สั่นกระพือ ก่อนจะบินเข้าไปยังส่วนลึกของวิถีโบราณดารากาล
ไม่ว่าจะเดินหรือบินบนวิถีโบราณดารากาลนี้ ล้วนต้องแบกรับการบีบรัดจากพลังออร่าของมกุฎเทพ รวมไปถึงพลังวายุที่มีอยู่ทั่วทุกแห่งหน
ผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดอยู่ที่แดนเทพมาร เพราะฉะนั้นการเดินทางจึงเป็นสิ่งที่ลำบากมาก ๆ และการที่จะได้รับโอกาสและโชคชะตาในแดนปริศนามกุฎเทพนั้น จำเป็นต้องเดินเข้าไปยังส่วนลึกของวิถีโบราณดารากาลเท่านั้น
หนึ่งช่วงบนวิถีโบราณดารากาลเท่ากับหนึ่งร้อยไมล์ ปัจจุบันตำแหน่งที่ทุกคนอยู่ยังเป็นเพียงช่วงแรกเท่านั้น
จากระดับความเร็วของปีกเทพมังกรครามยักษ์ ระยะห่างหนึ่งร้อยไมล์นั้นสามารถไปถึงได้ภายในเวลาชั่วลมหายใจเดียว ตรงหน้าหลัวซิวมีแท่นหินแท่นหนึ่งปรากฏ
แต่ทว่าบนแท่นหินดังกล่าวไม่มีสมบัติใด ๆ หลงเหลืออยู่แล้ว น่าจะถูกคนอื่นเอาไปแล้ว
หลัวซิวครุ่นคิดเพียงครู่เดียว เขาก็เดาได้แล้วว่าสมบัติดังกล่าวถูกมู่หมิงเอาไป เนื่องจากในขณะที่เขาต่อสู้กับจี้เฟิงอยู่นั้น มู่หมิงได้บินเข้ามายังส่วนลึกของวิถีโบราณดารากาล
ภายใต้การค้นหาภายในแหวนเก็บของของมู่หมิงหนึ่งรอบ หลัวซิวก็หยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมา หลังจากเปิดขวดหยกดังกล่าวออกแล้ว ก็มีกลิ่นหอมของยาที่เข้มข้นทำให้เขารู้สึกมึนเมา
ยิ่งกว่านั้นคือภายในกลิ่นหอมของยาดังกล่าว ยังมีออร่ากฎฟ้าดินแฝงซ่อนอยู่ด้วย
“โอสถเวทย์ธรรม!”ถึงอย่างไรหลัวซิวก็เป็นนักยาเซียนคนหนึ่งอยู่ แม้ระดับของเขาจะไม่สูง แต่เขาก็เป็นคนตาคมอยู่
ภายในขวดหยกมียาทั้งหมดสามเม็ด ทั้งสามเม็ดล้วนเป็นโอสถเวทย์ธรรมระดับ 7 ซึ่งผู้แข็งแกร่งราชาเทพขั้นปฐมภูมิสามารถใช้มันเพื่อยกระดับผลการฝึกตนได้
“สมบัติชิ้นแรกบนวิถีโบราณดารากาล……”