มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1540
“รายงานท่านอาจารย์ ทราบเพียงเขาได้ย่างกรายสู่ส่วนลึกของเส้นทางหลักบนวิถีโบราณดารากาล จากนั้นเขาก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลยขอรับ”
ไม่เพียงแค่โจวเจิ้งคนเดียวเท่านั้นที่พูดเช่นนี้ ผู้คนจากกองกำลังที่เหลือก็พูดเป็นเสียงเดียวกันทุกประการ
“บนตัวเขาต้องมีความลับอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นคือโอกาสและโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนปริศนามกุฎเทพอาจจะถูกเขาเอาไปแล้วด้วย!”
แววตาของอาจารย์ราชาเทพทั้งห้าร้อนผ่าวขึ้นมา สำหรับตัวตนผู้อาวุโสเค่อชิงในสำนักเทียนเจี้ยนของหลัวซิวนั้น วินาทีนี้มันกลับไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นคือแม้กระทั่งอาจารย์ราชาเทพในสำนักเทียนเจี้ยน ก็จะทราบความลับที่เกี่ยวข้องกับแดนปริศนามกุฎเทพให้ได้
“เราไปกันเถอะ! จัดวางค่ายกล! ปิดล้อมเมืองเทวะดาราอุดร”
มหาเทวะดาราอุดรตะคอกเสียงดังลั่น เมื่ออยู่ภายในแดนปริศนามกุฎเทพนี้ ราชาเทพก็ถูกกดอัดเช่นกัน แต่หลัวซิวนั่นกลับไม่ถูกกดอัด การที่จะจัดการหลัวซิวนั้น จึงต้องวางค่ายกลไว้ในโลกภายนอก
“พวกเจ้าจะวางค่ายกลเพื่อลงมือต่อข้าหรือ?”
เสียงอันเย็นชาดังออกมาจากส่วนลึกของวิถีโบราณดารากาล ถัดจากนั้นทุกคนก็เห็นเงาดำร่างหนึ่งหกระเหินเดินฟ้า เดินออกมาจากสุดปลายขอบเขตของวิถีโบราณดารากาล
บนตัวเขาคือชุดคลุมยาวสีขาวดำ เส้นผมที่ดำสนิทปลิวลอยไปพร้อมกับสายลม มือข้างหนึ่งไขว้ไว้ด้านหลัง มีท่วงทีวิถียุทธ์ที่ไร้ขอบเขตไหลเวียนซ่อนแฝงอยู่ในทุกพฤติกรรมความเคลื่อนไหวของเขา
“เหอะ ๆ ช่างเป็นผู้น้อยที่น่าสนใจยิ่งนัก”
มหาเทวะดาราอุดรหัวเราะทีหนึ่ง จากนั้นร่างกายเขาก็กลายเป็นสายรุ้งยาว บินเข้าไปในระลอกคลื่นเจ็ดสี ออกจากแดนปริศนามกุฎเทพ
ราชาเทพอีกสี่คนที่เหลือก็ต่างมองหลัวซิวด้วยแววตาที่ลึกซึ้งรอบหนึ่งเช่นกัน ก่อนจะพากันบินออกไปจากระลอกคลื่นเจ็ดสี
เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าเมื่ออยู่ภายในแดนปริศนามกุฎเทพ พวกเขาทุกคนไม่มีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้ของหลัวซิวได้เลย
เหล่านักยุทธ์ที่เข้ามาในแดนปริศนามกุฎเทพพร้อมกับหลัวซิวก็จากไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน สุดท้ายจึงเหลือเพียงจินหลิงหยุนคนเดียว เขากำลังยืนอยู่ตรงทางเข้าระลอกคลื่นเจ็ดสี
“สหายหลัว อาจารย์ราชาเทพทั้งห้าท่าน ทราบเรื่องที่ผลการฝึกตนของเจ้าไม่ถูกกดอัดในแดนปริศนามกุฎเทพแล้ว และทราบเช่นกันว่าเจ้าเข้าไปยังส่วนลึกของเส้นทางดาราโบราณ……”
จินหลิงหยุนมองไปทางหลัวซิวแล้วทำท่าคารวะ ภายในแววตามีความทอดถอนใจ “สหายหลัวเป็นสหายที่แซ่จินเลื่อมใสที่สุดในชั่วชีวิตนี้แล้ว เจ้ารักษาเนื้อรักษาตัวด้วยล่ะ!”
หลัวซิวก็ทำท่าคารวะเช่นกัน พลางอมยิ้ม “สหายจินออกไปคอยข้าข้างนอกก่อนได้เลย คอยอีกไม่นาน เจ้าและข้าสามารถมุ่งไปยังโลกะอัมพรเทวพร้อมกันได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หางคิ้วของจินหลิงหยุนก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่าหลัวซิวไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากที่ใด นั่นมันอาจารย์ราชาเทพห้าคนเชียวนะ ยังมีเจ้านภาและกึ่งราชาเทพจำนวนมากที่รวมตัวกันอยู่ในเมืองเทวะดาราอุดรอีก
ตั้งแต่เข้ามาในแดนปริศนามกุฎเทพกระทั่งถึงบัดนี้ เพิ่งผ่านไปเพียงสิบกว่าปี ถึงแม้เขาจะได้รับโอกาสและโชคชะตาในแดนปริศนามกุฎเทพ ศักยภาพของเขาจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่เชียว อย่างน้อยก็ไม่มีทางบรรลุถึงแดนราชาเทพหรือเปล่า……
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ จินหลิงหยุนก็เลยส่ายหน้าไปมา เงาร่างเดินเข้าไปในระลอกคลื่นเจ็ดสี แม้เขาจะรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสในตัวหลัวซิว ทว่าเขากลับไม่มีทางไปเผชิญหน้ากับอาจารย์ราชาเทพห้าคนพร้อมกับเขาแน่นอน
ทันใดนั้น ในห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลของแดนปริศนามกุฎเทพ ก็เหลือเพียงหลัวซิวคนเดียวแล้ว
“เวทย์ผลการฝึกตนยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ดาราชีวีก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น เวทย์ผลการฝึกตนในปัจจุบันของข้าสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพได้ พลานุภาพที่ปะทุออกมาจากดาราชีวีทั้ง 18 ดวงของข้านั้น สามารถเทียบทัดกับราชาแห่งศัสตราวุธธรรมดา”
หลัวซิวดูศักยภาพของตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วพูดพึมพำ: “และอุบายสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้านั้น ก็คือดาราชีวีที่จ้าวมหาเทพแสงดาวทิ้งไว้ ครั้นเมื่อข้าผนึกรวมดวงดาวได้ 7 ดวง ก็สามารถปลดปล่อยพลานุภาพออกมาโจมตีราชาเทพจนบาดเจ็บได้แล้ว แต่ปัจจุบันดวงดาวทั้ง 18 ดวงของข้าผนึกรวมเสร็จสิ้นหมดแล้ว แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่ทราบเช่นกันว่าจะสามารถกระตุ้นพลานุภาพของดาราโบราณมกุฎเทพออกมาได้มากน้อยเท่าไหร่”
“ผู้แข็งแกร่งราชาเทพห้าคนร่วมมือกัน ตั้งใจจะยึดโอกาสและโชคชะตาของข้าอย่างนั้นหรือ พวกเจ้ายังไม่คู่ควร!”