สายตาของหลัวซิวจ้องมองที่แผ่นศิลาก้อนนั้น ด้วยตัวสำนึกของเขาที่เทียบได้กับราชาเทพครึ่งก้าว ซึมเข้าไปในแผ่นศิลา และพบทันทีว่าภายในแผ่นศิลามีพื้นที่ มีสัญลักษณ์กะพริบนับพันนับหมื่นอยู่ในนั้น
ถึงแม้เข้าจะไม่ใช่ร่างแท้ แต่เป็นร่างกลวัฏสงสารสอง ความสามารถระหว่างร่างแท้กับร่างกลวัฏสงสารสองสามารถสื่อสารกันได้
เขาใช้ตัวสำนึกสัมผัสสัญลักษณ์ในศิลา รู้สึกว่ามีความลึกลับของค่ายกลในสัญลักษณ์เหล่านี้ หากความเข้าใจและการรับรู้ของเขาเองเกี่ยวกับค่ายกลสามารถสะท้อนสัญลักษณ์ได้ สัญลักษณ์ก็จะบินออกจากศิลา ล้อมรอบร่างกายเขา คือการยอมรับ
เขาเดินไปตามคำร้องขอของ ทังโหย่วไหลนั่งขัดสมาธิห่างจากศิลา ประมาณยี่สิบเมตร ตัวสำนึกของเขาซึมเข้าไปในศิลาเพื่อสื่อสารกับสัญลักษณ์ที่อยู่ภายใน
ในเวลาเพียงครู่เดียว แผ่นศิลาสูงสามสิบเมตรก็ส่งเสียงฮัมฮัมและสั่นสะเทือน สัญลักษณ์พุ่งออกมาจากแผ่นศิลานั้นอย่างต่อเนื่อง เป็นประกายระยิบระยับราวกับผีเสื้อที่กำลังร่ายรำ
ในชั่วพริบตา ข้างหลัวซิวก็มีสัญลักษณ์นับร้อยล้อมรอบตัวแล้ว แสงเทพที่สาดส่องไปทั่วร่างของเขาราวกับเทพ
แสงศักดิ์สิทธิ์บานสะพรั่งของสัญลักษณ์กระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้ศิษย์นอกสำนักทุกคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ตกตะลึง ทำให้สายตาของทุกคนมาบรรจบกันที่หลัวซิว
มีความน่าเหลือเชื่อ เหลือเชื่อ และตกตะลึงในสายตาเหล่านี้
แม้แต่ชายชราผู้นั่งอยู่บนภูเขาที่สิบแปดแห่งนอกสำนักก็ยังตื่นตระหนก กลายเป็นสายรุ้งยาวบินมา สายตาเบิกกว้าง ดวงตาชราขุ่นมัวจ้องไปที่หลัวซิว
สำหรับ ทังโหย่วไหลที่นำหลัวซิวมาที่นี่ เขาขยี้ตาและอ้าปากด้วยความไม่เชื่อ
รอบด้านเงียบไปหมด สายตาของทุกคนจดจ่อกับสัญลักษณ์รอบ ๆ หลัวซิว สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจมากที่สุดคือสัญลักษณ์นับร้อยเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังมีสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่พุ่งออกมาจากแผ่นศิลา เหมือนนางฟ้าผีเสื้อที่ร่าเริงและเต้นรำอยู่รอบตัวเขา
หลัวซิวสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวรอบตัวเขาอยู่แล้ว เขามาที่สำนักไท่ไหลเป็นครั้งแรกและเขาไม่ต้องการแสดงมากเกินไปจนทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัย เมื่อสัญลักษณ์รอบตัวเขาเกินพันเขาก็เก็บตัวสำนึกของเขากลับมาจากแผ่นศิลา
ถ้าเขาต้องการ เขาสามารถดึงสัญลักษณ์นับหมื่นออกมาจากแผ่นศิลาด้วยความเข้าใจวิถีค่ายกลของเขาเอง
แต่จำนวนหนึ่งพันก็เพียงพอแล้วสำหรับหลัวซิวแล้ว จุดประสงค์ของเขาคือการแสดงความสามารถบางอย่าง ดึงดูดความสนใจของสำนักไท่ไหลและอำนวยความสะดวกในฝึกฝนที่นี่ในอนาคตของเขา
ในเวลาเดียวกัน เขายังแสร้งทำเป็นสีหน้าซีดเซียว ตัวสำนึกหมดลงอย่างมาก สัญลักษณ์สว่างไสวกว่าพันรอบ ๆ ตัวเขาจางลงและสลายไปทีละน้อย
“คุณพระ ผู้ไม่ธรรมดาผู้นี้มาจากไหนกัน?”
ทังโหย่วไหลตกตะลึงมาก เขาอยู่ในสำนักไท่ไหลมาเป็นเวลาหลายปี เขาไม่เคยเห็นใครที่สามารถดึงสัญลักษณ์ออกมานับพันได้เมื่อสื่อสารกับแผ่นหินเป็นครั้งแรก
ต้องรู้ว่าคนส่วนใหญ่ที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักกลายเป็นศิษย์นอกสำนัก ส่วนมากเป็นนักค่ายเทพระดับหนึ่ง อย่างมากจะไม่เกินระดับ 3 แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์นักค่ายเทพระดับ 3 สามารถสื่อสารและดึงสัญลักษณ์ออกมาได้นับร้อยก็ไม่เลวแล้ว
ชายชราที่อยู่กลางอากาศเคลื่อนไหวแล้วปรากฏตัวตรงหน้าหลัวซิว ชี้นิ้วไปที่กึ่งกลางคิ้วของเขา
จิตสำนึกของหลัวซิวได้สังเกตเห็นชายชราคนนี้นานแล้ว ผู้นี้มีผลการฝึกตนเทพฟ้าขั้นปฐมภูมิ เขาก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เฝ้าอยู่บนภูเขาที่สิบแปดแห่งนอกสำนัก
นิ้วของเขาไม่ได้มีเจตนาฆ่า ดังนั้นหลัวซิวจึงระงับสัญชาตญาณโจมตีกลับของเขา ปล่อยให้นิ้วของอีกฝ่ายแตะหน้าผากของเขา
บูม!
กระแสพลังและตัวสำนึกหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ขั้นตอนแรกคือการสำรวจตัวหยั่งรู้ของเขา ช่องจิตของเขาถูกซ่อนไว้ด้วยวิชาลับ ผลการฝึกตนที่ต่ำกว่ามกุฎเทพไม่สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นชายชราผู้นี้ไม่พบอะไรทั้งนั้น