ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของเขา ในวันนี้ก็คือระดับราชาเทพ ไม่ด้อยไปกว่าเหล่าอัจฉริยะที่น่าอัศจรรย์ของโลกะอัมพรเทวเลย
ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่รอบ ๆ สำนักทองเหลืองโบราณ ส่วนใหญ่มาจากกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ของโลกะอัมพรเทว โดยเฉพาะตำแหน่งที่ค่อนข้างเข้าใกล้แนวหน้า ต่างก็ถูกกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ยึดครองเอาไว้แล้ว จอมยุทธ์อย่างผู้บำเพ็ญตนอิสระทำได้เพียงอยู่หลัง ๆ อีกทั้งเมื่อใดที่เข้าไปใกล้ ก็จะถูกกองกำลังใหญ่ขับไล่ออกมา
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลี่ยู่!”
ในขณะนี้เอง หลี่ชางก็มองเห็นหลัวซิวแล้ว เขารีบกลายเป็นสายรุ้งบินเข้ามาทันที กระตือรือร้นที่จะทักทายหลัวซิวเป็นอย่างมาก
“ที่แท้ก็คือผู้เพื่อนยุทธ์หลี่ชางนี่เอง” หลัวซิวประสานมือคารวะ
“เหอเหอ จากกันไปเพียงไม่กี่วัน โลกะอัมพรเทวกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะได้พบกันอีกในเร็ววันเช่นนี้ ดูท่าข้ากับผู้เพื่อนยุทธ์คงจะมีพรหมลิขิตต่อกันเป็นแน่” หลี่ชางพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ผู้เพื่อนยุทธ์เดินทางมาที่นี่ก็เพราะสำนักทองเหลืองโบราณ แต่กองกำลังต่าง ๆ ยึดครองพื้นที่เอาไว้แล้ว ด้วยสถานะของผู้บำเพ็ญตนอิสระเป็นการยากที่จะเข้าไปด้านใน”
หลี่ชางรี่ตาลง พูดกับหลัวซิว “หากผู้เพื่อนยุทธ์ไม่รังเกียจ ข้าสามารถแนะนำให้กับเจ้าได้ ใช้สถานะเค่อชิงของพวกเราสำนักเซียนปราณม่วงเป็นการชั่วคราว เข้าไปยังฐานทัพของสำนักเซียนปราณม่วงของข้า”
หลัวซิวจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ที่หลี่ชางพูดเช่นนี้ความจริงแล้วก็เพื่อที่จะชักชวนตน แต่เขาก็จำเป็นที่จะต้องมีสถานะและภูมิหลังจริง ๆ ไม่เช่นนั้นกองกำลังต่าง ๆ ที่ขวางอยู่ด้านหน้า คงจะไม่ปล่อยในเขาเข้าใกล้สำนักทองเหลืองโบราณโดยง่ายเป็นแน่
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนผู้เพื่อนยุทธ์ด้วย” หลัวซิวกำมือคารวะพร้อมพยักหน้า
ภายใต้การนำของหลี่ชาง หลัวซิวและเขากลายเป็นสายรุ้งบินตรงไปยังฐานทัพของสำนักเซียนปราณม่วง เมื่อผ่านกองกำลังอื่น ๆ พวกเขาไม่ถูกขัดขวางแต่อย่างใด
สำนักเซียนปราณม่วงถึงแม้ว่าจะไม่ใช่หนึ่งในกองกำลังมกุฎเทพของโลกะอัมพรเทว แต่ก็เป็นกองกำลังราชาเทพชั้นยอด สำนักตระกูลมากมายก็ยังต้องไว้หน้าพวกเขา
“ผู้อาวุโสติง ท่านนี้คือผู้เพื่อนยุทธ์หลี่ยู่ที่ข้าเคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้” หลี่ชางหันไปพูดแนะนำกับชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำของสำนักเซียนปราณม่วง
“เฮอะ ๆ ยินดีต้อนรับผู้เพื่อนยุทธ์เข้ามาเป็นสมาชิกของเราสำนักเซียนปราณม่วง!” ชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า ท่าทางที่มีนั้นค่อนข้างให้ความเกรงใจต่อหลัวซิว ไม่มีความเย่อหยิ่งที่เกิดจากตัวตนและสถานะ ซึ่งมันทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
เขาได้รับรู้มาจากหลี่ชางก่อนแล้ว หลี่ยู่ผู้นี้มาจากโลกาดาราอุดร ไม่เพียงมีผลการฝึกตนราชาเทพ อีกทั้งกฎปริภูมิ ยังฝึกตนถึงปริภูมิราชาเทพขั้นที่สี่ และยังเป็นนักค่ายเทพระดับเจ็ดอีกด้วย
อัจฉริยะเช่นนี้ ต่อให้เป็นกองกำลังใหญ่มกุฎเทพก็ไม่ได้พบได้บ่อยนัก สำนักเซียนปราณม่วงหากสามารถชักชวนเข้ามาได้ ต้องสามารถเพิ่มพลังได้มากแน่นอน
ชายวัยกลางคนผู้นี้แซ่ติง ชื่อเต็มคือติงกู่ชิว ดูจากภายนอกเหมือนวัยกลางคน หมายความว่าความแข็งแกร่งของบุคคลนี้อยู่ในสถานะจุดสูงสุดของชีวิตโลกยุทธ์แล้ว ระดับที่บรรลุถึงคือราชาเทพขั้นที่เจ็ด ยังมีความเป็นไปได้ที่จะก้าวไปอีกขั้นในอนาคต
สถานะของติงกู่ชิวสูงกว่าหลี่ชางอย่างเห็นได้ชัด เพราะหลี่ชางมองจากภายนอกค่อนข้างแก่ชรา นั่นหมายความว่าชีวิตในโลกยุทธ์ของเขาเดินมาทางมาถึงช่วงปลายแล้ว พลังไม่เพิ่มขึ้นแต่มันจะลดลงแทน เริ่มที่จะเดินลงจากเนินเขา
ชีวิตของโลกยุทธ์ก็เหมือนการแล่นเรือทวนกระแสน้ำ ไม่ไปข้างหน้าก็ถดถอยลง
แต่หลัวซิวดูเหมือนยังเยาว์วัย เป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุราว ๆ 15-16 ปีคนหนึ่ง อายุช่วงนี้ก็หมายถึงยังมีศักยภาพสูงมากที่สามารถดึงออกมาได้อีก
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า เพราะเหตุใดหลี่ชางจึงได้ทุ่มเทสุดกำลังเพื่อชักชวนเขาเข้ามา
หลัวซิวประสานมือคารวะ ยืนเคียงข้างกับหลี่ชาง นอกจากติงกู่ชิวแล้ว สำนักเซียนปราณม่วงยังมีราชาเทพอีกสามคนอยู่ที่นี่ด้วย ท่านหนึ่งคือราชาเทพช่วงต้น อีกสองท่านคือราชาเทพช่วงต้น
ไม่นับผู้แข็งแกร่งที่กุมบังเหียนของสำนักเขาสำนักเซียนปราณม่วง ที่แห่งนี้คือห้าราชาเทพที่รวมตัวกัน ช่วงปลายหนึ่งท่าน ช่วงกลางสองท่าน ช่วงต้นสองท่าน ทำให้หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ มรดกของกองกำลังมกุฎเทพแห่งโลกะอัมพรเทวเหล่านั้นจะมีมากมายถึงระดับใดกันแน่?
เขาเหลือบตาขึ้นมอง กองกำลังต่าง ๆ ยึดครองพื้นที่แต่ละแห่ง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสำนักทองเหลืองโบราณที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้