แน่นอนอยู่แล้วว่าก็มีคนบางส่วนที่ไม่อยากไปโลกาชั้นฟ้าเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเหล่ามกุฎเทพบางส่วนในธาตุดาราอัมพรเทวและธาตุดาราคุนหลุน พวกเขาที่อยู่ในโลกามนุษย์เป็นการคงอยู่ที่สูงส่งที่สุด แต่ถ้าเกิดไปโลกาชั้นฟ้า ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามีอยู่ทั่วทุกแห่งหน และศักยภาพของตนก็ถึงขีดจำกัดเช่นกัน ไม่มีทางมีการบรรลุอีก เมื่อเปรียบเทียบกับการยอมอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าผู้อื่นในโลกาชั้นฟ้า จะดีกว่าหากได้เป็นเจ้าพ่อในโลกามนุษย์
แต่สำหรับนักยุทธ์ส่วนใหญ่แล้ว การได้กลายเป็นนักยุทธ์โลกาชั้นฟ้านั้น เป็นความฝันของคนหลาย ๆ คน
ยกตัวอย่างเช่นครั้นเมื่อหลัวซิวประสบกับการดึงเข้าพวกของฉินเฟยเสว่ แท้จริงแล้วนั่นก็คือโอกาสหนึ่งในการได้กลายเป็นนักยุทธ์โลกาชั้นฟ้าเลยล่ะ
แต่ทว่าเวลานั้นเขาอยู่ในโลกาชั้นฟ้าไม่ได้ เนื่องจากยังมีเรื่องอีกหลายอย่างที่จัดการไม่เสร็จในโลกามนุษย์
ก่อนที่เขาจะมุ่งหน้าไปยังโลกาชั้นฟ้า ยังต้องจัดการบ่วงกรรมที่มากมายในโลกามนุษย์ให้เรียบร้อยก่อน……
ในขณะที่มีความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เคลื่อนผ่านไปในสมองหลัวซิวอยู่นั้น ชายหนุ่มผู้มาจากโลกาชั้นฟ้าคนนั้นก็ยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง ก่อนจะมีเงาร่างของคนคนหนึ่งปรากฏกลางห้องโถงใหญ่
คนดังกล่าวคือเด็กผู้ชายที่อายุดูยังไม่ถึง 10 ขวบ ผลการฝึกตนอยู่เพียงแดนมกุฎยุทธ์ เขากวาดตามองดูผู้คนรอบ ๆ ด้วยดวงตาที่สว่างไสวคู่หนึ่ง พร้อมกับความระแวดระวัง
ใบหน้าของทุกคนเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงเสกเด็กผู้ชายคนหนึ่งออกมา
และเสี้ยววินาทีที่หลัวซิวมองเห็นเด็กผู้ชายคนนั้น เขาก็แทบจะระเบิดออกมาภายในพริบตา เนื่องจากเด็กผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ผู้อื่น เขาคือเสี่ยวเจียงหมิง!
เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งตามหาช่าจื่อเยียนเจอ และทราบมาแล้วว่าเกิดเรื่องที่โลกเสวียนเทียน ทุกคนในสำนักไท่เสวียนล้วนถูกจับกุมตัวไปหมด เสี่ยวเจียงหมิงสูญหายไร้ร่องรอย
หลัวซิวก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเขาที่นี่ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขาวางใจได้เล็กน้อยนั่นก็คือเสี่ยวเจียงหมิงยังมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าสีหน้าของเขาดูค่อนข้างโทรม สามารถจินตนาการได้เลยว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาที่ยังเป็นเด็กต้องกล้ำกลืนต่อความเป็นธรรมไปมากเท่าไหร่
นี่คือเด็กที่ชะตาชีวิตเปี่ยมล้นไปด้วยอุปสรรค ครั้นเมื่อยังเด็กสำนักล้มสลาย ตนเองเกือบถูกคู่อริสังหาร กว่าจะค่อย ๆ ลบปมในใจออกไปได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กลับต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง หากเปลี่ยนเป็นเด็กทั่วไปคนหนึ่ง คงยากที่จะอดทนต่อความทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับมองเห็นจิตใจอันหนักแน่นในแววตาเสี่ยวเจียงหมิง ราวกับว่ามีความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นคอยประคองเขาไว้ ทำให้เขาไม่มีวันล้มลง
“ฐานร่างของเด็กคนนี้พิเศษ เขามีพรสวรรค์ด้านการฝึกกฎความตายที่พิเศษมาก ๆ แม้ว่าผลการฝึกตนของเขาจะเป็นเพียงมกุฎยุทธ์ ทว่าศักยภาพของเขากลับเทียบทัดมหายุทธ์ เป็นอัจฉริยะที่สามารถท้าประลองผู้ที่แดนอยู่เหนือกว่าตนได้”
ชายหนุ่มอมยิ้มพลางแนะนำ: “แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ระดับของวรยุทธ์ที่เด็กคนนี้ฝึกนั้นสูงมาก ๆ อย่างน้อยก็เป็นวรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพ”
“ว่าอย่างไรนะ? วรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพ?”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของชายหนุ่ม ใบหน้าของทุกคนที่อยู่ภายในห้องโถงใหญ่ก็เปี่ยมล้นไปด้วยความตะลึง รวมไปถึงชายชุดแพรที่อำนวยการงานในครั้งนี้ด้วย
ต้องท้าวความก่อนว่าวรยุทธ์ระดับจ้าวมหาเทพนั้น มาตรแม้นว่าในกองกำลังใหญ่ในโลกาชั้นฟ้า ก็มีเพียงศิษย์ใจกลางเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ฝึก
“แต่ทว่า……”
ในขณะที่ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างมากอยู่นั้น ชายหนุ่มก็เปลี่ยนประเด็นแล้วพูดต่อ: “แต่ทว่าวรยุทธ์ที่เขาฝึกเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวรยุทธ์เท่านั้น เราใช้ตัวสำนึกสอดแนมความทรงจำเขา และทราบมาว่าวรยุทธ์ดังกล่าวมีนามว่าบำเพ็ญพลิกทมิฬ”
“พระเจ้า บำเพ็ญพลิกทมิฬหรือ?”
“เล่ากันว่าในยุคใดยุคหนึ่งที่ผ่านมาในอดีตถูกเรียกว่ายุคมืดมน นั่นคือวรยุทธ์ระดับมหาจักรพรรดิเทพที่จักรพรรดิเทพทมิฬริเริ่ม!”
“เจ้าเด็กนั่นเคยฝึกบำเพ็ญพลิกทมิฬมาก่อนอย่างนั้นหรือ นี่มันสมบัติที่ประมาณราคาไม่ได้ชัด ๆ !”
ภายในเสี้ยววินาทีเดียว แววตาของทุกคนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา สายตาของแต่ละคนราวกับกำลังจะผ่าตัวหยั่งรู้ของเสี่ยวเจียงหมิงออกมา เพื่อไปสอดแนมความทรงจำของเขายังไงอย่างนั้น