เมื่อผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนเทพมารแล้วจะสามารถยึดกุมกฎดั้งเดิมได้ คนส่วนมากจะตระหนักรู้ในอาณาจักรแห่งกฎของตน แต่ทว่าผู้ที่สามารถฝึกอาณาจักรแห่งกฎให้แข็งแกร่งถึงระดับที่มากพอ จนวิวัฒนาการกลายเป็นพลังอมตะหนึ่งกลับมีไม่มาก
ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวสีเขียมั่นใจในตัวเองอย่างมาก กฎธาตุอัสนีขั้น 5 เพียงพอที่จะทำให้เขาเป็นผู้ไร้เทียมทานในแดนราชาเทพชั้น 9 แล้วจะนับประสาอะไรกับราชาเทพขั้นปฐมภูมิกระจอก ๆ คนหนึ่งและราชาเทพขั้น 7 สองคน?
และในเวลานี้เอง รูม่านตาเขาก็หดลงกะทันหัน เพราะตรงหน้าเขาก็มีเงาดำร่างหนึ่งกำลังย่ำเท้าเดินตรงเข้ามาเช่นกัน เมื่อสายฟ้าแต่ละสายผ่าลงบนร่างกายคนดังกล่าว สายฟ้าเหล่านั้นก็จะแตกสลายเป็นชิ้น ๆ ภายในชั่วพริบตาเดียว กลายเป็นแสงสายฟ้าที่นับไม่ถ้วน กระเด็นไปทั่วทุกสารทิศ
“เจ้า……เจ้าไม่เกรงกลัวการโจมตีจากกฎธาตุอัสนีขั้น 5 อย่างนั้นหรือ?”
เพียงแวบเดียวผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียวก็จำได้แล้วว่าฝ่ายตรงข้ามคือราชาเทพขั้นปฐมภูมินั่น ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกช็อกไม่น้อยเลย ยิ่งกว่านั้นคือยังทำให้เหงื่อแตกท่วมแผ่นหลังอีกด้วย
เขาเคยพบเห็นรู้จักยอดฝีมือกลั่นร่างมาไม่น้อย การที่สามารถต้านรับการโจมตีจากกฎธาตุอัสนีขั้น 5 และไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย อย่างน้อยร่างเนื้อเช่นนี้ก็สามารถเทียบทัดกับราชาแห่งศัสตราวุธชั้นยอดแล้ว มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งกลั่นร่างระดับกึ่งมกุฎเทพ ผู้ที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้นั้นก็มีไม่มากเช่นกัน มีเพียงผู้ที่ฝึกวรยุทธ์กลั่นร่างชั้นยอดเท่านั้นถึงจะทำเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตามวรยุทธ์กลั่นร่างที่ระดับยิ่งสูงก็ยิ่งหายาก ร่างเนื้อของคนดังกล่าวเกะกะระรานเช่นนี้ วรยุทธ์ที่ฝึกต้องเป็นวรยุทธ์กลั่นร่างชั้นยอดอย่างแน่นอน ผลการฝึกตนของเขาเป็นเพียงราชาเทพขั้นปฐมภูมิจริง ๆ หรือ?
หลัวซิวจ้องเขม็งผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียว ก่อนหน้านี้ครั้นเมื่ออยู่ในงานค้าขาย ในอกเขาก็อัดแน่นไปด้วยจิตสังหารที่มากมายมหาศาลแล้ว เขากำลังจะระเบิดออกมาอย่างอดไม่ไหวแล้ว
แต่ทว่าสีหน้าของเขากลับเรียบนิ่งมาก ๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างเย็นชา: “มึงดื้อดึงที่จะมาหาเรื่องกูเวลานี้ นี่เป็นการรนหาที่ตายของตัวมึงเอง”
จิตสังหารอันน่าเกรงขามกำลังตะโกนคำรามอยู่ในอก เหมือนดั่งน้ำเชี่ยวกรากที่กำลังจะทะลักออกมา เสมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ
ทว่าหลัวซิวกลับไม่ได้สูญเสียสติปัญญาไปเพราะเหตุนี้ ก่อนจะลงมือฆ่าคน เขายกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง ยันต์ค่ายทั้งหลายบินลอยออกไป จัดวางเป็นค่ายกลหนึ่งค่าย
เมื่อดูจากข้างนอก ค่ายกลที่เขาจัดวางเหมือนจะเป็นค่ายกลคุ้มกัน แต่ในความเป็นจริงประสิทธิผลหลัก ๆ ของค่ายกลดังกล่าวคือใช้เพื่อตัดขาดการสำรวจผ่านตัวสำนึก รวมไปถึงอำพรางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนี้
อาณาจักรอัสนีบวกกับค่ายกลที่เขาจัดวาง ทำให้ไม่มีผู้ใดทราบได้เลยว่าภายในนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ผู้คนที่อยู่ภายนอกจะมองเห็นเพียงผลลัพธ์เท่านั้น
โครม!
หลัวซิวมีการเคลื่อนไหวภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ร่างกายเขาเคลื่อนไหวทีเดียว ก็ทำให้พื้นที่ตรงหน้าถูกกระแทกจนแตกสลายเป็นฝุ่นผง แรงฮึดของร่างยุทธ์ร่างเนื้อที่เกะกะระรานปะทุ อัสนีที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ถูกบีบจนถอยหลังกลับไป พื้นที่บริเวณรอบ ๆ ล้วนกลายเป็นแถบสุญญากาศโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
เขาปรากฏอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียวภายในชั่วพริบตาเดียว ไม่มีการใช้ของขลังอาวุธสงครามใด ๆ แค่ปล่อยหมัดออกไปอย่างเด็ดเดี่ยวมาก ๆ หนึ่งหมัด
หมัดนี้ทำให้ห้วงอากาศระเบิด อัสนีแตกสลาย ทำลายล้างปริภูมิ จิตสังหารอันไร้ขอบเขตผนึกรวมเข้าด้วยกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดนี้ของหลัวซิว ก็มีความรู้สึกที่ต้านทานไม่ได้ปรากฏขึ้นมาในจิตใจผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียวอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกเหมือนต้องได้ตายอย่างไร้ข้อสงสัย ยิ่งกว่านั้นคือราวกับเขาเห็นว่าตัวเองตายไปแล้ว ถูกหมัดนี้ต่อยจนร่างกายแหลกสลาย ไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ซึ่งนี่คือห้วงของกฎความตาย ใช้ภาพเหตุการณ์ที่สยดสยองอย่างมากรบกวนปณิธานของคู่ต่อสู้
ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียวขนหัวลุกซู่ เขาอยากถอยหลังกลับไปในทันที แต่กลับรู้สึกว่ากิริยาท่าทางของร่างกายเชื่องช้าลง ราวกับการเคลื่อนที่ของเวลาช้าลง
“กฎเวลา?”
เขาหวาดผวาอย่างรุนแรง และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวมากกว่านั้นคือ เดิมทีกิริยาท่าทางของเขาก็เชื่องช้ามาก ๆ อยู่แล้ว วินาทีนี้กลับรู้สึกเหมือนร่างจมอยู่ในบึงโคลนอีก เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่คือกฎปริภูมิที่สอดคล้องกับกฎเวลา!