คราวนี้ทุกคนต่างเรียนรู้ที่จะประพฤติตัวดี ไม่มีใครกล้าผลีผลามลงมือโจมตี ส่วนคนที่ตายไปในตอนแรก พวกเขาน่าจะค้นพบสถานที่นี้โดยบังเอิญ และไม่ได้รู้เงื่อนไขของตำหนักปีศาจเพลิง
แน่นอนว่าหลัวซิวก็เข้าไปใกล้ ๆ ด้วยเช่นกัน อาศัยการสัมผัสรู้ค่ายกลของตนเอง เพื่อคาดคะเนวิชาห้ามค่ายกลของตำหนักปีศาจเพลิง
วิชาห้ามค่ายกลของตำหนักปีศาจเพลิงอยู่ในระดับที่สูงมาก ค่ายสังหารและค่ายคุ้มกันผสานเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว เหมือนกับค่ายกลพรสวรรค์ที่เกิดจากฟ้าดินบ่มเพาะ ไร้ซึ่งตำหนิแต่อย่างใด
แต่จากการคาดคะเนของหลัวซิว เขาพบว่าความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ใช่ค่ายกลพรสวรรค์ แต่เป็นการสร้างขึ้นโดยมนุษย์ เพียงแค่เพราะว่ากลยุทธ์ของคนที่จัดวางค่ายนั้นช่างเก่งกาจและหลักแหลมเกินไป แทบจะไม่สามารถหาร่องรอยหรือตำหนิของค่ายกลได้เลย จึงเป็นเหตุให้ผู้คนเข้าใจผิดไปว่าเป็นค่ายเทพพรสวรรค์
“ช่างฉลาดหลักแหลมจริง ๆ!”
ผ่านไปชั่วครู่ หลัวซิวก็หยุดการคาดคะเนลง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความดีใจปนประหลาดใจ
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถคาดคะเนวิธีการทำลายได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น เพราะระดับของค่ายเทพแห่งนี้ได้สูงเกินกว่าระดับเก้าแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยิ่งค่ายเทพนี้สมบูรณ์แบบและทรงพลังมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น เพราะด้วยวิธีนี้เท่านั้น เขาจึงจะสามารถรู้สึกได้ถึงความกดดัน และสัมผัสรู้จากมันได้มากขึ้น จากนั้นจึงจะสามารถบังคับให้แดนค่ายกลของตัวเองเพิ่มขึ้นไปยังแดนที่สูงกว่าได้
ไม่เพียงแค่ตระกูลโปเท่านั้นที่เชิญนักค่ายเทพมา ยังมีกองกำลังอื่น ๆ ของโลกาดาราอัมพรเทว รวมถึงโลกะดาราคุนหลุน9ต่างก็เตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อเปิดตำหนักปีศาจเพลิง ต่างก็เชิญนักค่ายเทพที่มีระดับสูงมากด้วยเช่นกัน
นอกจากหลัวซิวแล้ว มีนักค่ายเทพทั้งหมดราวสิบกว่าคนกำลังทำความเข้าใจและคาดคะเนไปพร้อม ๆ กัน ท่ามกลางพวกเขามีอยู่หนึ่งสองคนที่มีระดับบรรลุถึงระดับเก้า อัญเชิญเข็มทิศขึ้นมา การคาดคะเนดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อค้นหาร่องรอยของค่ายกล
เมื่อเห็นเข็มทิศ ในใจของหลัวซิวพลันมีแผนขึ้นมาในใจ ทั้งสองคนถึงแม้จะเป็นนักค่ายเทพระดับเก้า แต่แดนกลับยังหยุดอยู่ที่ระดับผังค่าย หากเทียบกับแดนที่สามารถก่อค่ายเป็นยันต์ได้ เมื่อเทียบกันแล้วระดับต่ำกว่าค่อนข้างมาก
ทุกคนรอจนกระทั่งผ่านไปเจ็ดแปดวันต่อมา หลัวซิวหยุดการคาดคะเนลงอีกครั้ง จากนั้นดวงตาเรียวก็พลันลืมตาขึ้น
“ผู้เพื่อนยุทธ์เย่ เป็นเช่นไร?” อิงบูเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถาม
ที่จริงหลังจากเห็นกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ เตรียมการแล้ว อิงบูเฉิงได้ล้มเลิกความคาดหวังใด ๆ ไปแล้ว แม้ว่าระดับของเย่ห้าวหรานผู้นี้จะไม่ด้อยไปกว่ากันก็ตาม แต่อย่างมากก็เป็นแค่ระดับแปด เมื่อเทียบกับนักค่ายเทพระดับเก้าที่ตระกูลโปเชิญมานั้น ก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย
นับตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ หลัวซิวล้วนแต่ไม่ได้เปิดเผยระดับค่ายกลที่แท้จริงของตนเองออกมา ผังค่ายปริภูมิระดับแปดที่นำออกมาขายในสหการค้าเมืองมังกรครามยักษ์ ก็เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาได้กลั่นเอาไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่เมื่อขึ้นเป็นระดับเก้าแล้วถึงได้กลั่น
เมื่อเจอคำถามของอิงบูเฉิง หลัวซิวพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “ได้แล้ว”
ระหว่างที่พูด หลัวซิวก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม แต่กลับสาวเท้าก้าวไปด้านหน้าแทน
“อย่างไรกัน?” อิงบูเฉิงชะงักไปในทันที นักค่ายเทพคนอื่น ๆ รวมถึงระดับเก้าทั้งสองท่านต่างก็ยังคงหน้าบึ้งคิ้วขมวดโดยที่ยังไม่สามารถหาหนทางใด ๆ ได้ หรือว่าเย่ห้าวหรานผู้นี้จะสามารถค้นหาวิธีการแก้ได้แล้วจริง ๆ?
ก็ว่าไม่ได้ที่อิงบูเฉิงจะตกอกตกใจและเผยสีหน้ายากที่จะเชื่อออกมา ถึงอย่างไรความอันตรายของตำหนักปีศาจเพลิงนั้นไม่ใช่สนามเด็กเล่น ถ้าไม่พบวิธีแก้ สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปกระตุ้นตัวต้องห้ามเข้า ระดับต่ำกว่ามกุฎเทพเกรงว่าจะไม่สามารถมีใครสามารถต้านเอาไว้ได้
“เฮียอิง……” เทพธิดายู่หรงที่อยู่ด้านข้างเผยสีหน้าแคลงใจและลังเล ถ้าหากตามเข้าไปในตอนนี้ เมื่อใดที่เย่ห้าวหรานไม่สามารถแก้ได้สำเร็จ พวกเขาทั้งสามคนก็คงจะถูกวิชาห้ามค่ายกลของตำหนักปีศาจเพลิงโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสหรืออาจเสียชีวิตได้
ในขณะที่ทั้งสองคนยังคงลังเลอยู่นั้น หลัวซิวเดินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว และการกระทำของเขาทางนี้ ก็ดึงดูดสายตาของนักยุทธ์คนอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง