จากคำเล่าในตำนานครั้นเมื่อจักรวาลกำเนิด ขอบเขตของจักรวาลไม่ได้กว้างใหญ่มากเท่าไหร่นัก ต่อมาหลังจากผ่านพ้นกาลเวลาที่ยาวนานอย่างไม่รู้จบแล้ว จักรวาลก็เหมือนระลอกคลื่นเล็ก ๆ บนผิวน้ำ ขยายออกไปจากจุดศูนย์กลางอย่างต่อเนื่อง ยิ่งอยู่ยิ่งกว้างใหญ่มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ยิ่งเข้าใกล้จุดศูนย์กลางของจักรวาลมากเท่าไหร่ ห้วงดาราของที่นี่ก็ยิ่งเก่าแก่มากเท่านั้น ทำให้ผู้คนสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกาลเวลาเก่าแก่ที่เปลี่ยนแปลงมากมายอยู่ตลอดเวลาอย่างชัดเจน
จุดศูนย์กลางของจักรวาลคือแปดโลกมหาพิภพ ส่วนมหาโลกาพันสามนั้นโอบล้อมอยู่เขตบริเวณรอบ ๆ ของแปดโลกมหาพิภพ
คำว่าโลกมหาพิภพนั้นมีความหมายแฝงคือสูงศักดิ์อย่างยิ่ง เป็นดาวเคราะห์เก่าแก่ที่กำเนิดเร็วที่สุดในจักรวาล
มหาโลกายอดอัมพรไม่ใช่ดวงดาวหนึ่งดวงโดยเฉพาะ แต่เป็นธาตุดาราหนึ่ง ซึ่งมหาโลกาพันสามก็คือตัวแทนของธาตุดาราทั้งสามพันนั่นเอง
สถานที่ที่ยอดอัมพรหมายเลข 3 เดินทางไปถึงคือหนึ่งในดาวเคราะห์ที่อยู่ในธาตุดารามหาโลกายอดอัมพร
ปริมาตรของดาวเคราะห์ดวงนี้ใหญ่โตมาก ๆ เรืออนัตตาที่ใหญ่โตมโหฬารลงจอดบนสนามจัตุรัสแห่งหนึ่ง เหมือนเรือเล็กลำหนึ่งจอดเทียบอยู่ที่ท่าเรือ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าพื้นที่ของสนามจัตุรัสดังกล่าวกว้างใหญ่มากเพียงใด
ผู้คนที่อยู่บนเรือต่างพากันลงจากเรือ เรืออนัตตาที่มาถึงที่หมายพร้อมกับเรืออนัตตายอดอัมพรหมายเลข 3 ยังมีเรืออนัตตาสรรพหมายเลข 6 ด้วย
จุดหมายปลายทางของเรืออนัตตาสรรพหมายเลข 6 คือสรรพมหาโลกา แต่ทว่าระหว่างทางมันจะเดินทางผ่านมหาโลกายอดอัมพร เหล่านักยุทธ์ในสรรพมหาโลกาที่อยากมุ่งหน้าไปยังมหาโลกายอดอัมพร สามารถใช้เงินซื้อป้ายบัญชาการขึ้นเรือแล้วขึ้นเรือตรงนี้ได้
เรืออนัตตาทั้งสองลำร่อนลงบนสนามจัตุรัสที่อยู่ด้านล่างต่อกัน จากนั้นก็มีออร่าอันน่าสยดสยองที่ไม่อาจคาดเดาได้ระเบิดออกมาจากบนเรืออนัตตายอดอัมพรหมายเลข 3 กะทันหัน
มีไฟโกรธลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกายสวี่เสวียนอานที่อยู่ในชุดคลุมยาวม่วง ทุกก้าวที่ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว อนัตตาที่อยู่รอบกายเขาก็จะทรุดตัวลง เห็นเพียงเขามองไปยังทิศทางของสรรพหมายเลข 6 ด้วยแววตาที่ร้อนผ่าว ลมปราณพุ่งเสียดฟ้า
“โกวจิ่งเหอ วันนี้หากไม่ให้คำอธิบายแก่แซ่สวี่ เจ้าก็อย่าได้ไปจากที่แห่งนี้เลย!”สวี่เสวียนอานพูดอย่างเย็นชา พลังอำนาจของผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพแผ่กระจายออกไป
ในโลกามนุษย์ถูกจำกัดโดยปณิธานกฎฟ้าดิน จึงไม่มีจ้าวมหาเทพคงอยู่
ในมหาโลกาพันสาม ผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพทุกคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่สูงตระหง่านและมั่นคงดั่งขุนเขาอยู่บนจุดสูงสุด
และเป็นเพราะตัวตนของผู้แข็งแกร่ง ความเกรียงไกรของผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพทุกคนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงเกินได้
เพราะฉะนั้นสำหรับสวี่เสวียนอานแล้ว หลังจากที่เขายืนยันว่าหนวดของอสูรกลืนดาราถูกผู้อื่นแก่งแย่งไป เขาก็ไม่มีทางกล้ำกืนฝืนทนแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรต่อเรื่องนี้
ซึ่งโกวจิ่งเหอก็คือจ้าวมหาเทพที่ปกปักรักษาอยู่บนเรืออนัตตาสรรพหมายเลข 6 นั่นเอง
“สวี่เสวียนอานเจ้าหมายความว่าอย่างไร? ข้าบอกไปตั้งนานแล้วว่าหนวดของอสูรกลืนดารานั่นมิได้อยู่ในมือข้า”
มีเสียงที่เยือกเย็นสะท้อนออกมาจากเรืออนัตตาสรรพหมายเลข 6 ถัดจากนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เดินออกมาจากเรืออนัตตา พร้อมกับปลดปล่อยออร่าที่มากมายมหาศาลของผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพออกมาเช่นกัน
ภายใต้พลังอำนาจของผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพทั้งสองคน ทุกคนที่อยู่ในสนามจัตุรัสล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากมายมหาศาล เลือดทั้งร่างกายเหมือนแข็งตัวไปแล้วยังไงอย่างนั้น ไม่สามารถหายใจได้
ไม่มีผู้ใดปรากฏออกมาห้ามปราม เนื่องจากจ้าวมหาเทพทุกคนที่คอยปกปักรักษาเรืออนัตตาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความเป็นมา มาตรแม้นว่าพวกเขาลงไม้ลงมือกันอย่างยิ่งใหญ่ ณ ที่แห่งนี้ ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายืดอกออกมาพูดแม้แต่คำเดียว
เมื่อได้ยินคำว่าหนวดของอสูรกลืนดารา สีหน้าของนักยุทธ์จำนวนมากที่ลงมาจากเรืออนัตตายอดอัมพรหมายเลข 3 ก็ดูแปลกไปภายในพริบตา
เนื่องจากครั้นเมื่อหนวดอสูรกลืนดาราที่ยาวหลายร้อยไมล์นั่นร่วงหล่นลงมาจากห้วงดารา เมื่อนั้นผู้ที่เข้าไปแก่งแย่งมีไม่น้อยเลย ต่อมาก็ถูกนักยุทธ์นิรนามคนหนึ่งแก่งแย่งไป
นี่จึงทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพที่อยู่ภายในเหงื่อแตกอย่างควบคุมไม่ได้ พลางนึกในใจว่าโชคดีที่ตอนนั้นตนแย่งหนวดของอสูรกลืนดารามาไม่ได้ มิเช่นนั้นละก็เกรงว่าคงถูกผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพหมายตาไว้แล้ว