“เจ็ดล้านห้าแสน ไม่มีผู้ใดแข่งประมูลต่อแล้วหรือ? อัคคีเทพพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ตามหายากมาก ๆ ในทั่วสากลโลก หากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไป ก็ยากที่จะมีโอกาสได้พบเจออีกครั้งแล้ว”
นักประมูลสาวกวาดตามองทุกคนที่อยู่ในงานด้วยความเคยชินรอบหนึ่งพลางพูด หลังจากนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง นางก็ยิ้มมุมปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ: “เจ็ดล้านห้าแสนครั้งที่หนึ่ง! เจ็ดล้านห้าแสนครั้งที่สอง! เจ็ดล้านห้าแสนครั้งที่สะ……”
“แปดล้านห้าแสน!”
ในขณะที่ใกล้จะสิ้นเสียงนับถอยหลังนั้น นักประมูลสาวกำลังจะพ้นพยางค์สุดท้ายออกมา นางก็ต้องกลืนคำพูดสุดท้ายลงไปเพราะเสียงตะคอกดังลั่นเสียงหนึ่ง
ภายในเสี้ยววินาที แววตาของทุกคนล้วนจ้องมองไปทางตำแหน่งที่เสียงดังกล่าวดังขึ้น ตรงซอกมุมที่ไม่โดดเด่นในห้องโถงใหญ่งานประมูล มีชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาวดำคนหนึ่งนั่งอยู่ บริเวณหน้าผากมีเส้นเลือดนูนปูด เหมือนตื่นเต้นแต่ก็เหมือนโกรธเกรี้ยว
นักประมูลสาวอมยิ้ม มูลค่าของอัคคีเทพพรสวรรค์ดวงหนึ่งอยู่เหนือมูลค่าสูงสุดดั้งเดิมของมัน นี่ต้องเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ทางงานประมูลชื่นชอบอยู่แล้ว
“คุณชายท่านนี้เสนอราคาแปดล้านห้าแสน ยังมี……”
นักประมูลสาวเพิ่งอ้าปากพูด ก็ถูกเสียงเสียงหนึ่งขัดจังหวะไปก่อน
“เก้าล้านห้าแสน!”และเจ้าของเสียงดังกล่าวก็ต้องมาจากเซียวเฟยที่อยู่ภายในห้องที่นั่งพิเศษอยู่แล้ว
ณ บัดนี้วินาทีนี้ สีหน้าของเซียวเฟยที่อยู่ภายในห้องที่นั่งพิเศษเยือกเย็นจนใกล้จะมีน้ำไหลหยดลงมาแล้ว เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าผู้ที่บังอาจมาแข่งประมูลกับเขา จะเป็นมดตัวจ้อยที่เขาอบรมสั่งสอนโดยไม่คิดอะไรมากตรงประตูทางเข้างานประมูล
ในขณะเดียวกัน หงเฟยที่นั่งอยู่ภายในห้องที่นั่งพิเศษก็สังเกตเห็นหลัวซิวที่อยู่ตรงซอกมุมแล้ว
หลัวซิวก็เงยหน้าขึ้นมาในเวลานี้เช่นกัน มองไปทางห้องที่นั่งพิเศษนั่น
บริเวณรอบ ๆ ของห้องมีการขวางกั้นจากค่ายกล หงเฟยสามารถมองเห็นข้างนอก ส่วนผู้คนที่อยู่ข้างนอกกลับไม่สามารถมองเห็นภายใน
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด สัญชาตญาณของผู้หญิงบอกกับหงเฟยว่า ผู้ที่แววตานั่นจ้องมองก็คือตัวนางเอง
“แววตาของเขาดูแปลกประหลาดเล็กน้อย เหตุใดเขาถึงต้องใช้แววตาเช่นนั้นมองข้า หรือว่าเขารู้จักข้า?”
คิ้วอันงดงามนั่นของหงเฟยขมวดลงเล็กน้อย นางนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้สบตากับเขาขณะอยู่หน้าประตูทางเข้างานประมูลอย่างอดไม่ได้ ภายในแววตาของเขา ณ เวลานั้นมีความกังวลและและดูเหมือนตื่นเต้นดีใจเพราะสภาพจิตใจที่รู้สึกถึงอารมณ์บางอย่าง ราวกับว่าตนเองเป็นคนที่เขาตามหามาโดยตลอดยังไงอย่างนั้น
“เหตุใดข้าถึงมีความรู้สึกที่คุ้นเคยต่อเขา? เหตุใดข้าถึงจำอะไรไม่ได้เลย?”คิ้วที่งดงามนั่นของหงเฟยขมวดแน่นมากยิ่งขึ้น และรู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน
อยู่ภายในห้องที่นั่งพิเศษห้องเดียวกัน เซียวเฟยเห็นว่าหงเฟยขมวดคิ้ว เขาเลยคิดว่ามีคนแข่งประมูลกับตน หงเฟยจึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
ดังนั้นเซียวเฟยจึงเอ่ยปากพูดอย่างไม่ลังเลใจ: “ไม่ว่าอย่างไรของขวัญที่แซ่เซียวข้าจะมอบให้ภรรยาในอนาคตก็ต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน!”
น้ำเสียงของเขายังคงอวดดีอย่างบ้าระห่ำเหมือนเคย ราวกับกำลังประกาศสงครามกับหลัวซิว หากเจ้าเก่งจริงก็เสนอราคาตามได้เลย
“ของที่กูต้องตาก็ต้องตกเป็นของกูอย่างแน่นอนเช่นกัน!”
วินาทีนี้ หลัวซิวไม่ได้อดทนต่อ เขาลุกตัวขึ้น ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนที่นั่ง ถึงกับถลกแขนเสื้อขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างแดงเถือก เหมือนกระทิงที่กำลังเดือดดาล
ใช่แล้ว พลังพันธุกรรมของหลัวซิวได้ปะทุ ณ วินาทีนี้แล้ว จากโลกะดาราอัมพรเทวถึงโลกะดาราคุนหลุน ตลอดจนมาถึงมหาโลกายอดอัมพร เขาอดกลั้นมานานมาก ๆ แล้ว ยิ่งกว่านั้นคือเขาสุดจะทนกับการอดกลั้นเช่นนี้แล้ว
การอดกลั้นไม่ใช่ลักษณะท่าทางของหลัวซิว และไม่ใช่อุปนิสัยของหลัวซิวเช่นกัน ก้าวรุดหน้าไปอย่างองอาจ ไม่เกรงกลัวใด ๆ สบายอกสบายใจ ไม่ทำสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจตนเอง อิสระตามอำเภอใจ นี่ต่างหากที่เป็นชีวิตของหลัวซิว!
กูไม่สนว่ามึงจะเป็นศิษย์ใจกลางไม่กลางของสำนักจักรพรรดิยอดอัมพร หากบีบจนทำให้กูร้อนรน มากสุดก็แค่ฆ่ามึงทิ้งแล้วถือหัวมึงไปกราบไหว้จีเสวียนคงอะไรนั่นเป็นอาจารย์!
อื้ออึงกันทั้งงานประมูล ทุกคนล้วนจ้องมองหลัวซิวด้วยสายตาที่แปลกประหลาด