และสิ่งที่ทำให้สีหน้าเขาดูหวาผวามากกว่านั้นก็คือฝ่ายตรงข้ามใช้นิ้วมือเพียงสองนิ้วเท่านั้น ก็คีบคมกระบี่ยุทธ์ของเขาเอาไว้ได้แล้ว กระบี่ยุทธ์สั่นจนเกิดเป็นเสียหงหึ่ง ๆ ราวกับกำลังร้องไห้
“ไสหัวไป!”
หลัวซิวเอ่ยปากระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ราวกับจะระบายความโกรธและความเกลียดแค้นทั้งหมดในอกออกมาให้หมดสิ้นยังไงอย่างนั้น
เสียงตะคอกนี้เหมือนเสียงดังสนั่นคล้ายฟ้าร้อง ดุจค้อนที่หนักอึ้งหนึ่งอัน ดังสะเทือนเลื่อนลั่นเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของผู้ติดตามนั่น
ไสหัวไป!
ไสหัวไป!
ไสหัวไป!
……
อั่กก!
กระอักเลือดเฮือกใหญ่ออกมาคาที่ ร่างกายของผู้ติดตามนั่นกระเด็นออกไปทันที ห้วงจักรหยั่งรู้ของเขาเกิดเป็นรอยแตก เลือดสดรินไหล
เตี๊ยง!
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวออกแรงนิ้วทั้งสองนิ้ว ถึงกับหักกระบี่ยุทธ์เล่มนั้นออกเป็นสองท่อน ก่อนจะง้างมือสะบัดทีหนึ่ง เศษกระบี่ที่แตกหักเร็วปานสายฟ้า พุ่งทะลวงร่างกายของผู้ติดตามคนนั้นจนเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด
เวิง! ……
ตัวกระบี่สั่นเทิ้มแล้วปักลงบนกำแพงของห้องโถงใหญ่งานประมูล ศพของผู้ติดตามคนนั้นถูกเศษกระบี่ที่แตกหักปักติดอยู่บนกำแพง
คำว่าไสหัวไปคำเดียวก็ทำให้ตัวหยั่งรู้ของคนดังกล่าวแตกสลาย หักราชาแห่งศัสตราวุธด้วยมือเปล่า ใจโหดมือเหี้ยม!
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีเดียว ไม่นึกเลยว่าศิษย์คนหนึ่งในหอยอดอัมพรจะถูกผู้อื่นฆ่าเช่นนี้เลยหรือ?
ต้องท้าวความก่อนว่าศิษย์ทุกคนในหอยอดอัมพรล้วนเป็นอัจฉริยะ ศิษย์ส่วนมากสามารถข้ามขั้นท้าทายผู้ที่แดนเหนือกว่าตน เป็นผู้โดดเด่นในการแข่งขันของอัจฉริยะแดนเดียวกัน
อย่างไรเสียมหาโลกายอดอัมพรก็กว้างใหญ่มากเกินไป ในทุก ๆ ปีจะมีอัจฉริยะที่นับไม่ถ้วนแย่งกันเป็นศิษย์ของหอยอดอัมพร ดังนั้นศิษย์ที่หอยอดอัมพรรับนั้น ทุกคนล้วนเป็นบุคคลอัจฉริยะ ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์
แต่ทว่าศิษย์ที่ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์เช่นนี้ กลับถูกผู้อื่นสังหารภายในกระบวนท่าเดียว
เจ้าหมอนั่นคือผู้ใดกันแน่? ความเป็นมาของเขาเป็นอย่างไร?
ข้อสงสัยเช่นเดียวกันผุดขึ้นมาในใจทุกคนอีกครั้ง บังอาจยั่วยุคนในหอยอดอัมพรอย่างเหิมเกริมเช่นนี้ และยิ่งสังหารศิษย์ในหอยอดอัมพรท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย หากชายหนุ่มที่ใส่ชุดคลุมยาวลายทางขาวดำผู้นี้ไม่มีเบื้องหลังความเป็นมาละก็ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเชื่อหรอก
“กระจอกงอกง่อย!”
หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น สี่พยางค์นี้เหมือนการตบหน้าเซียวเฟยแรง ๆ
ในขณะที่เซียวเฟยกำลังจะลงมือด้วยตนเองอยู่นั้น นักประมูลสาวที่อำนวยการอยู่บนแท่นยืนสูงก็เอ่ยปากพูดอย่างกะทันหัน
“คุณชายทั้งสองท่านต่างเป็นแขกผู้มีเกียรติ ได้โปรดไว้หน้าทางงานประมูลดาราจันทราของเราด้วยนะเจ้าคะ หากมีบุญคุณความแค้นรบกวนช่วยจัดการเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”
น้ำเสียงของนักประมูลสาวคนนี้นิ่มนวลมาก ๆ ภายในก็มีความหมายแฝงซ่อนอยู่หนึ่งชั้นเช่นกัน นั่นก็คือหากทั้งสองท่านยังดึงดันที่จะลงไม้ลงมือกันที่นี่ละก็ เช่นนั้นทางงานประมูลของเราก็คงทำได้เพียงเชิญทั้งสองท่านออกไปข้างนอกแล้ว
“สาวสวยเจ้าก็เห็นแล้วว่ามันเป็นฝ่ายที่จะลงมือจัดการข้าก่อน ข้านั้นเป็นการป้องกันตัวอย่างสมเหตุสมผลและถูกต้องตามกฎหมาย”
หลัวซิวเบ้ปากพลางกลับเข้าที่นั่งของตัวเองใหม่อีกครั้ง แล้วพูดกับนักประมูลสาวสุดเย้ายวนตรงแท่นยืนสูง
นักประมูลสาวยิ้มตอบตามหน้าที่ ทว่าในใจกลับหมดคำจะพูดมาก ๆ อย่างเจ้าก็เรียกว่าป้องกันตัวอย่างสมเหตุสมผลและถูกต้องตามกฎหมายอย่างนั้นหรือ? ไม่เห็นหรือว่าศิษย์คนหนึ่งในหอยอดอัมพรถูกเจ้าสังหารไม่ว่า อีกทั้งศพยังปักอยู่บนกำแพงอีก?
แน่นอนอยู่แล้วว่าตราบใดที่ยังไม่ทราบความเป็นมาของคนดังกล่าวอย่างแน่ชัด จะพูดคำพูดทำนองนี้มั่วซั่วไม่ได้เป็นอันขาด
สำหรับผู้อยู่เบื้องหลังงานประมูลดาราจันทรานั้น เซียวเฟยต้องทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แม้จะเปรียบเทียบผู้อยู่เบื้องหลัง ในมหาโลกาใบนี้ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงกับหอยอดอัมพรที่อยู่เบื้องหลังตนเองได้แน่นอน ทว่าเซียวเฟยก็เข้าใจดีมาก ๆ เช่นกันว่าอย่างไรเสียตัวเองก็ยังหนุ่ม ตราบใดที่ยังไม่เติบใหญ่ อย่าได้รุกรานกองกำลังใหญ่บางกองกำลังจะดีกว่า
ต่อให้พรสวรรค์จะสูงมากเพียงใด ปัญญาสูงจะมากเท่าไหร่ หากเป็นมนุษย์แล้วทำตัวโดดเด่นมากเกินไป ไม่แน่อาจจะรุกรานเฒ่าประหลาดบางคนแล้วถูกสังหารก็เป็นได้ แม้พรสวรรค์และปัญญาสูงแล้วจะมีประโยชน์อันใด?