บนสนามจัตุรัสมีใบประกาศติดอยู่หนึ่งใบ ทุกคนที่เดินผ่านบริเวณดังกล่าวล้วนสามารถมองเห็น เรียกได้ว่าเป็นที่สะดุดตามาก
หลัวซิวและจีเสี่ยวจื่อไปถึงที่นั่นด้วยกัน หลังจากเห็นเนื้อหาบนใบประกาศนั่นแล้ว จิตสังหารหนึ่งที่เหมือนดั่งเปลวไฟพรั่งพรูก็ปะทุออกมาในร่างกายหลัวซิว
เนื้อหาที่อยู่บนใบประกาศตรงไปตรงมามาก นั่นก็คือสำนักเซียนเทียนหยุนทราบตัวตนของเขาแล้ว ต้องการให้เขาไปถึงภูเขาหยุนเซียนภายในเวลา 15 วัน มิเช่นนั้นต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ตามมาเอง
ในส่วนของผลลัพธ์ที่ตามมานั้น หลัวซิวไม่คิดก็ทราบแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเอาพ่อแม่และญาติพี่น้องของตัวเองข่มขู่อย่างแน่นอน
“ข้าจักไปภูเขาหยุนเซียนพร้อมเจ้าสักเที่ยว”เสียงของจีเสวียนคงดังเข้าไปในหูหลัวซิว ทำให้จิตสังหารที่แปรปรวนของเขาค่อย ๆ สงบลง
จีเสวียนคง ณ วินาทีนี้ดูแล้วเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีผลการฝึกตนใด ๆ ในฐานะที่เป็นมหาปรมาจารย์ยาเซียนที่ลึกลับที่สุดในฟ้าดินนี้ เขาปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก ๆ โดยเฉพาะเขาอยู่อย่างสันโดษบนชั้นสองของหอโอสถเสวียนคงตั้งแต่แปดหมื่นปีก่อนแล้ว ไม่เคยย่างกรายออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว
และปัจจุบันเขาได้รับหลัวซิวเป็นศิษย์ เข้าสังคมหลังจากเวลาผ่านมาแปดหมื่นปี คนรุ่นใหม่เข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่า ทำให้ผู้ที่จำตัวตนของเขาได้นั้นมีน้อยมาก ๆ แล้ว
แล้วจะมีผู้ใดคิดได้บ้างเล่าว่ามหาปรมาจารย์ยาเซียนอย่างเขาจะยืนอยู่กลางสนามจัตุรัสของเมืองดาราจันทรา เดินอยู่ในหมู่นักยุทธ์ธรรมดาจำนวนมาก?
ภูเขาหยุนเซียนเป็นสถานที่ตั้งของสำนักเซียนเทียนหยุน เนื่องจากมูลเหตุเรื่องการคงอยู่ของยอดอัมพร ทำให้ในมหาโลกาใบหนึ่งมีสำนักจักรพรรดิได้เพียงหนึ่งสำนักเท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ภายในสำนักเซียนเทียนหยุนจะมีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพ กลับไม่สามารถเรียกแทนตัวเองว่าเป็นสำนักจักรพรรดิ เป็นได้เพียงกองกำลังระดับจ้าวมหาเทพ
ซึ่งสิ่งที่แตกต่างกันคือ กองกำลังที่มีผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพปกปักรักษา ถึงจะเป็นกองกำลังระดับจ้าวมหาเทพ และถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์จ้าวมหาเทพ
ระดับที่อยู่ต่ำกว่าสำนักจักรพรรดิก็คือแดนศักดิ์สิทธิ์ ในมหาโลกาหนึ่งใบ จำนวนแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีขีดจำกัดมาก ๆ เช่นกัน เป็นเฉกเช่นเดียวกับผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพที่น้อยและหาพบยากมาก
“อสูรดูดจิต?”
ออกจากเมืองดาราจันทรา ในระหว่างทางที่มุ่งไปยังภูเขาหยุนเซียน ขณะที่หลัวซิวปล่อยอสูรดูดจิตโบราณออกมาใช้เป็นพาหนะในการเดินเท้าอยู่นั้น มาตรแม้นว่าเป็นจีเสวียนคงที่มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวางก็ตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน
ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เมื่อนั้นมนุษย์ยังไม่ใช่ตัวเอกในจักรวาลดารา ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดก็คืออสูรโบราณดารา พวกมันครอบครองห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล ลำตัวของพวกมันใหญ่โตมหึมาอย่างยิ่ง ดูดกลืนดาราจันทรา เคยนำพาภัยพิบัติที่ไร้ที่สิ้นสุดมาให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์มารและเผ่าปีศาจ
จนกระทั่งต่อมามนุษย์ มารและปีศาจค่อย ๆ พัฒนาการขึ้นมา มีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานบังเกิดอย่างต่อเนื่อง อสูรโบราณดาราที่ร่างกายแข็งแรงแต่การแพร่พันธุ์ต่ำถึงจะถดถอยออกไปจากเวทีประวัติศาสตร์
ตั้งแต่ยุคโบราณจวบจนปัจจุบัน ไม่รู้ว่ากาลเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคือต้องหวนย้อนกลับไปถึงยุคสมัยที่มหาจักรพรรดิยุทธ์คนแรกบังเกิด
ในกาลเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ความสามารถในการแพร่พันธุ์ของอสูรโบราณดาราก็ต่ำมาก ๆ อยู่แล้ว จากการล่วงเลยไปของเวลา ทำให้พวกมันค่อย ๆ สูญพันธุ์ไป
แม้ปัจจุบันในโลกก็มีอสูรโบราณดาราปรากฏบ้างเป็นครั้งคราว แต่ทว่าอสูรดูดจิตที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 1กลับไม่เคยปรากฏหลายร้อยล้านปีแล้ว
“นี่มันอสูรดูดจิตที่สามารถวิวัฒนาการได้อย่างไร้ขีดจำกัดในตำนานเชียวนะ”จีเสวียนคงรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย เผ่าพันธุ์อสูรดูดจิตในยุคโบราณ นั่นมันราชาในห้วงจักรวาลดาราเชียวนะ
“อสูรดูดจิตเก่งกาจเช่นนั้นจริงหรือเจ้าคะ?”เมื่อจีเสี่ยวจื่อเห็นสีหน้าของปู่ นางก็ตะลึงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้เช่นกัน นางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าจากความสามารถในการมองของท่านปู่ ใต้หล้านี้มีน้อยสิ่งมาก ๆ ที่สามารถทำให้สีหน้าเขาเป็นเช่นนี้
“ต้องเก่งกาจอยู่แล้วสิ ไม่ใช่เก่งกาจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”จีเสวียนคงถอนหายใจแล้วพูดว่า: “จักรวาลฟ้าดินในสมัยโบราณแตกต่างจากปัจจุบัน อสูรดูดจิต ณ เมื่อนั้นสามารถกลืนกินอสูรจิตได้อย่างไร้ขีดจำกัด ความเร็วในการเจริญเติบโตรวดเร็วมาก ๆ ซึ่งเก่งกาจกว่าอสูรกลืนดาราที่มีความสามารถในการกลืนกินเหมือนกันเยอะมาก”