“จากการที่ประวัติศาสตร์และกาลเวลาค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป จักรวาลฟ้าดินก็เริ่มแตกต่างจากสมัยโบราณแล้ว อสูรดูดจิตทำได้เพียงอาศัยการกลืนกินช่องจิต ถึงจะสามารถเจริญเติบโตและวิวัฒนาการได้ ดังนั้นอสูรดูดจิตจึงไม่ถูกเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ยอมรับ ทุกครั้งที่พวกมันปรากฏก็จะถูกฆ่าตาย ดังนั้นพวกมันจึงสูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว”
อ้างอิงจากคำพูดของจีเสวียนคง แม้ระดับความเร็วในการเจริญเติบโตและวิวัฒนาการของอสูรดูดจิตจะด้อยกว่าสมัยโบราณมาก ทว่าคุณสมบัติพิเศษที่สามารถวิวัฒนาการได้อย่างไร้ขีดจำกัดของมันยังคงอยู่ แต่ถ้าอยากทำให้อสูรดูดจิตเจริญเติบโตขึ้นมาละก็ มันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง เนื่องจากจากการที่อสูรดูดจิตยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น จะมีช่องจิตที่มากมายเช่นนั้นให้มันกลืนกินวิวัฒนาการได้อย่างไร?
หากจะทำเช่นนั้นจริง ๆ ก็จะเกิดการสังหารกันอย่างไร้ขอบเขต จากอุปนิสัยของหลัวซิว เขาก็ไม่มีทางสังหารคนบริสุทธิ์จำนวนมากเพื่อทำให้อสูรดูดจิตเติบโตวิวัฒนาการเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง สายตาของหลัวซิวก็มองเห็นภูเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อันไกลโพ้น
นั่นคือยอดเขาหิมะลูกหนึ่ง สูงเทียมเมฆ หิมะที่ขาวโพลน บนยอดเขาหิมะนั่นมีชุดแพรสีแดงร่างหนึ่งกำลังบินลอยอยู่กลางพายุหิมะ ราวกับเทพธิดาไร้ราคีกำลังจะโบยบินขึ้นสวรรค์ยังไงอย่างนั้น
ข้างกายของเทพธิดาชุดแดง มีผู้อาวุโสใบหน้าเย็นชาที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีดำมืดทึมน่ากลัวยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ซึ่งเขาก็คือท่านฉีที่หลิวเซี่ยหานจัดแจงให้อยู่ข้างกายนางนั่นเอง
หงเฟย หรือว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์นั่นเอง แต่ทว่านางลืมเรื่องราวทุกอย่างไปแล้ว จำได้เพียงชื่อของตนเอง ซึ่งเรียกว่าหงเฟย
“คุณหนู มันมาแล้วขอรับ”ท่านฉีเงยหน้าขึ้นมากะทันหัน แล้วมองไปทางจุดดำหนึ่งจุดที่บินมาจากขอบฟ้า ซึ่งจุดดำดังกล่าวก็คืออสูรดูดจิตที่กำลังบินมาจากที่ไกล
หงเฟยก็ต้องมองเห็นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว และทราบเช่นกันว่าผู้ที่ท่านฉีหมายถึงคือผู้ใดกันแน่ และการที่นางกับท่านฉีมารอคอยบนยอดเขาหิมะแห่งนี้นั้น ก็เพราะปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์นาง หลิวเซี่ยหาน มาดักสังหารคนดังกล่าว ณ ที่นี่
“โฮกก!”
อสูรดูดจิตบินไปถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว รูปร่างลักษณะที่ดุร้ายน่ากลัว มีออร่าที่ดุดันดุร้ายทะลุออกมา
อสูรดูดจิต ณ ปัจจุบันบรรลุถึงระดับราชาเทพแล้ว ในฐานะที่เป็นอสูรโบราณไร้เทียมทานที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่อสูรแดนเดียวกัน พลังออร่าที่มันปลดปล่อยออกมาเพียงพอที่จะสามารถทำให้นักยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่ามกุฎเทพทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันแล้ว
ซึ่งหงเฟย ณ วินาทีนี้ก็มีความรู้สึกเช่นนี้ ผลการฝึกตนของนางคือราชาเทพขั้น 7 เนื่องจากพรสวรรค์ด้านกฎเพลิงอัคคีของตัวเองสูงมาก ๆ ศักยภาพที่แท้จริงของนางจึงสามารถเทียบทัดกึ่งมกุฎเทพ และเป็นเพราะพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมเป็นเลิศเช่นนี้ จึงส่งผลให้นางถูกหลิวเซี่ยหานให้ความสำคัญ
“นี่มันอสูรกายอะไร?”มีความตึงเครียดปรากฏในแววตาหงเฟยเล็กน้อย หากลงไม้ลงมือกันจริง ๆ นางไม่มั่นใจว่าจะสามารถสังหารอสูรยักษ์ดุร้ายที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนตัวนี้ได้หรือไม่
“มันคืออสูรดูดจิตขอรับ ถูกจัดอยู่ในอันดับ 1 ของการจัดอันดับอสูรโบราณดารา!”
สีหน้าของท่านฉีที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน ในฐานะที่เป็นคนสนิทของหลิวเซี่ยหาน เขาจึงทราบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเศษใจแห่งศุภรเมื่อปีนั้นอยู่ นักยุทธ์ผู้แย่งเศษใจแห่งศุภรนั่นไป ก็เลี้ยงลูกอสูรดูดจิตไว้ตัวหนึ่ง
แต่ทว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน อสูรดูดจิตตัวนั้นก็เป็นเพียงอสูรระดับเทพมารเท่านั้น ปัจจุบันกลับบรรลุถึงระดับราชาเทพแล้วอย่างนั้นหรือ?
ท่านฉีใช้ตัวสำนึกแผ่สำรวจ ก็สังเกตเห็นทั้งสามคนที่ยืนอยู่บนศีรษะของอสูรดูดจิตแล้ว ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมสีดำนั่น ต้องเป็นผู้ที่เจ้าสำนักน้อยออกคำสั่งให้จับกุมโดยไม่ต้องสงสัยเลย ในส่วนของชายชราและสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาพร้อมกับเขานั้น ท่านฉีกลับไม่ได้นำมาไว้ในสายตาเลย
อสูรดูดจิตบินวนอยู่บนนภายอดภูเขาหิมะ เขาก้มมองลงไปจากที่สูง สายตาร่วงลงบนคนชุดแดงนั่น
“เจ้าก็คือซิวหลัวหรือ?”หงเฟยเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหลัวซิวพลางถาม
“เจ้าลืมแล้วหรือ?”น้ำเสียงของหลัวซิวฟังดูเศร้าโศกเล็กน้อย เขาดูออกตั้งนานแล้วว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์สูญเสียความทรงจำไปแล้ว และผู้ที่นำทีมทำเรื่องเลว ๆ ทั้งหมดนี้ก็ต้องเป็นหลิวเซี่ยหานนั่นอย่างไร้ข้อสงสัยแน่นอน