จีเสวียนคงมองหน้าศิษย์ที่ตนเพิ่งรับอย่างทอดถอนใจ ไม่แน่ชัดว่าจิตใจรู้สึกอย่างไรกันแน่
พรสวรรค์ของศิษย์สูง เมื่อพูดตามหลักตนผู้เป็นอาจารย์ควรจะรู้สึกมีความสุขสิถึงจะถูก แต่สถานการณ์คือพรสวรรค์ของศิษย์คนนี้สูงเกินกว่าเหตุไปหน่อยจริง ๆ ราวกับว่าตนเองที่เป็นอาจารย์นอกเหนือจากโยนคัมภีร์โอสถให้เขาไปตระหนักรู้เองแล้ว ตนก็ไม่สามารถสอนเรื่องอื่น ๆ ให้เขาได้อีกเลย
มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้จีเสวียนคงรู้สึกว่าตัวเองยังมีหน้าเป็นอาจารย์คนนี้ได้อยู่น้ัน ก็คงจะเป็นเรื่องที่เขาฝึกกฎชีวิตถึงแดนขั้น 10 แล้ว
อัจฉริยะผู้ฝึกสี่กฎชั้นยอดอย่างกฎการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลาพร้อมกัน ยิ่งกว่านั้นคือจีเสวียนคงไม่แน่ชัดด้วยซ้ำว่าขอแค่เพียงศิษย์คนนี้ของตัวเองไม่ดับสลายสูญสิ้น ในอนาคตเขาต้องเติบโตถึงขั้นที่เหลือเชื่อมาก ๆ อย่างแน่นอน
“กฎการเวียนว่ายตายเกิดนั้น เป็นเพราะศิษย์ฝึกวรยุทธ์ที่มีนามว่าพลังจุติมรณะวรยุทธ์หนึ่ง ในส่วนของกฎห้วงเวลานั้น ข้าได้ประสบกับอีกโอกาสหนึ่งน่ะขอรับ”
นอกเหนือจากความลับเรื่องตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตายแล้ว หลัวซิวไม่มีความคิดที่จะปิดบังความลับของตัวเองต่อหน้าจีเสวียนคงเยอะมากนัก
ยิ่งกว่านั้นคือแม้กระทั่งเศษใจแห่งศุภรก็ถูกเขาหยิบออกมาเช่นกัน จนทำให้จีเสวียนคงตกตะลึงหนักมาก
“เศษอัญมณีดั้งเดิม!”
มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่อยู่ในแดนระดับนี้อย่างจีเสวียนคง เมื่อพบสิ่งของที่มีความสัมพันธ์กันกับอัญมณีดั้งเดิมแล้ว ก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของเขาได้เยอะมากเช่นกัน
ในขณะที่หลัวซิวนำเศษใจแห่งศุภรออกมาอยู่นั้น เขาก็สังเกตดูสีหน้าของจีเสวียนคง
สำหรับอาจารย์คนนี้ของตัวเอง ในความเป็นจริงก้นบึ้งจิตใจของหลัวซิวก็คอยระแวดระวังเขาเล็กน้อยอยู่ เนื่องจากหลังจากผ่านพ้นเรื่องราวที่มากมายเช่นนี้มาแล้ว เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าคนเดียวที่คุ้มค่าแก่การไว้วางใจมากที่สุดก็มีเพียงตัวเราเท่านั้น
หากเขาแสดงพรสวรรค์ที่สูงส่งมาก ๆ ออกมา บางทีจีเสวียนคงอาจจะแค่รู้สึกตะลึง ทว่าหากตัวเองหยิบสมบัติที่มีมูลค่าอยู่เหนือการจินตนาการของเขาออกมาละก็ เช่นนั้นก็รับประกันได้ยากมาก ๆ ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเกิดความคิดที่ชั่วร้ายหรือไม่
หลัวซิวไม่กล้าไปเดิมพันกับจุดนี้ เนื่องจากตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตายเป็นเศษชิ้นส่วนหลังจากวัฏสงสารโบราณทลายสูญสิ้น ซึ่งมูลค่าความหมายของมันยิ่งใหญ่มาก ๆ ถึงขนาดอยู่เหนืออัญมณีดั้งเดิมเสียอีก
ในส่วนของเศษใจแห่งศุภรนั้น สำหรับหลัวซิวมันกลับเป็นรองตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตาย แม้สูญเสียไปแล้ว ก็แค่ไม่สามารถใช้โลกาศุภรมาฝึกตนได้แล้วเท่านั้นเอง ทว่าเขาสามารถอาศัยกฎเวลาของตัวเองมาจัดวางค่ายกลสีมาเพลา ซึ่งสามารถบรรลุประสิทธิผลเช่นเดียวกันได้
หลัวซิวมองเห็นเพียงความตะลึงและความแปลกใจจากแววตาของจีเสวียนคง ซึ่งไม่มีความคิดที่โลภและความคิดที่ชั่วร้ายปนอยู่เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าหนู เจ้านำของสิ่งนี้ออกมา เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะแย่งไปเลยหรือ?”จีเสวียนคงมองหลัวซิวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มรอบหนึ่ง
จากประสบการณ์ที่เขามีชีวิตมานานหลายสิบล้านปี จักยังดูไม่ออกได้อย่างไรว่าเหมือนศิษย์คนนี้ของตัวเองกำลังลองเชิงตัวเองอยู่
เมื่อเห็นแววตาของจีเสวียนคง หลัวซิวจึงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยทันที เห็นได้ชัดเจนเลยว่าความคิดแผลง ๆ ของตัวเองถูกมองจนทะลุปรุโปร่งแล้ว สุดท้ายแล้วเขาก็ยังอ่อนไปหน่อยอยู่ดี
“การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นแล้วมีจิตใจที่ระแวดระวังน่ะถูกต้องแล้ว เจ้ามิต้องรู้สึกเก้อเขินหรอก”
ในขณะที่หลัวซิวไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอยู่นั้น จู่ ๆ จีเสวียนคงกลับพูดเช่นนี้ขึ้นมาคำหนึ่ง
“ข้าย่างกรายลงเส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์ตั้งแต่สามสิบล้านกว่าปีก่อน ในกาลเวลาที่ยาวนานนี้ เคยประสบพบเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มามากไม่รู้ตั้งเท่าใด ยิ่งกว่านั้นคือขอแค่เพียงเป็นสิ่งที่เจ้าจินตนาการได้ อาจารย์นั้นล้วนเคยผ่านพ้นมาหมดแล้ว สิ่งที่เจ้าจินตนาการไม่ได้ อาจารย์ก็เคยผ่านพ้นมาก่อนแล้วเช่นกัน”
“โลกของนักยุทธ์นั้นโหดเหี้ยม หากมีโอกาสบังเกิดแล้วเจ้าไม่ไปช่วงชิง มันก็จักไม่มีวันเป็นของเจ้าตลอดชีวิต นักยุทธ์ใต้หล้านี้ล้วนรวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเพื่อผลประโยชน์ เพื่อโอกาสโชคและเพื่อทรัพยากรสมบัติ เนื่องจากมีเพียงตัวเจ้าแข็งแกร่งแล้ว เจ้าถึงจะมีพื้นฐานในการอยู่รอด!”