มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1849
พื้นที่บริเวณรอบ ๆ เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้ว สามารถมองเห็นได้ว่าไม่ว่าผู้คนที่เดินเข้ามาในเส้นทางดาราจะมีมากเท่าไหร่ ก็จะถูกแบ่งแยกออกไปตามพื้นที่แตกต่างกัน
ระดับกฎปริภูมิของที่นี่สูงมาก ๆ จากแดนกฎของหลัวซิว ก็ไม่สามารถสัมผัสพื้นที่ที่คนอื่น ๆ อยู่ได้เช่นกัน
ย่างเท้าออกไปหนึ่งก้าว ทันทีที่ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงบนเส้นทางดารา อำนาจบารมีที่มากมายมหาศาลก็จุติลงมากะทันหัน เหมือนภูเขาที่สูงใหญ่ลูกหนึ่งร่วงหล่นลงมาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
อำนาจบารมีดังกล่าวจุติลงมาได้กะทันหันมาก ทว่ากลับไม่สามารถหยุดยั้งฝีเท้าของหลัวซิวได้ กลั้ยใจฝ่าฟันไปข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย
หลัวซิวค่อย ๆ มุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าทีละก้าว อำนาจบารมีที่ต้องเผชิญก็เพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นกัน แต่ขอบเขตที่เพิ่มขึ้นกลับไม่มาก ทำให้เขาสัมผัสแรงกดดันได้ไม่มากนัก
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ตรงหน้าเขาก็มีทางเข้าสีดำสนิทปรากฏขึ้นมาอีกหนึ่งทาง เหมือนวังน้ำวนหลุมดำที่หมุนเวียนไปมา หลัวซิวก็รู้แล้วว่าด่านแรกของเส้นทางดาราถือว่าข้ามผ่านไปสำเร็จแล้ว
ความน่าเกรงขามของด่านแรกมีไม่มากเท่าไหร่นัก อำนาจบารมีที่เผชิญด้วยก็เทียบเท่าพลังออร่าที่ผู้แข็งแกร่งราชาเทพช่วงปลายปลดปล่อยออกมา หากผู้ที่ผลการฝึกตนยังไม่ถึงราชาเทพ เกรงว่าคงต้องต้านทานยากมากแน่นอน ในส่วนของผู้ที่อยู่สูงกว่าราชาเทพนั้น จะไม่รู้สึกกดดันใด ๆ เลย
หลัวซิวมาถึงช่วงที่สองของเส้นทางดาราอย่างรวดเร็ว หรือว่าด่านที่สองนั่นเอง
ทันทีที่เขาทะลุผ่านทางเข้าหลุมดำ วิกฤตการณ์หนึ่งก็บังเกิดขึ้นกะทันหัน จู่ ๆ อสูรเสือปีกคู่ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนวนเป็นเกลียวอยู่รอบตัวก็พุ่งมาถึงตรงหน้าเขา อ้าปากที่ใหญ่โตและน่ากลัวนั่นขึ้น ก่อนจะมีกลิ่นคาวตีเข้าหน้า พุ่งเข้ามากลืนกินเขา
บนใบหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึก โคจรกฎความตาย ชีวีดั้งเดิมที่อยู่ในตัวอสูรเสือปีกคู่ตัวนั้นจึงถูกยึดครองไปอย่างรวดเร็ว แทบจะภายในระยะเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น มันก็กลายเป็นกระดูกแห้งกรังกองหนึ่งแล้ว
ไม่มีความท้าทายเลย!
ตั้งแต่ด่านที่สองเป็นต้นมา หลัวซิวเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบโดยสมบูรณ์มาตลอดทาง ผ่านไปไม่นานนัก เขาก็มาถึงด่านที่ 17 แล้ว
อำนาจบารมีที่ต้องเผชิญด้วยในทุก ๆ ด่านก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นกัน อสูรกายที่ปรากฏก็ยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ บางครั้งก็มีการโจมตีจากพลังแห่งกฎปรากฏบาง แต่มันกลับสร้างความเสียหายให้หลัวซิวไม่มากนัก
หลังจากที่หลัวซิวมาถึงด่านที่ 17 แล้ว รัศมีแวววาวจับตาที่มากมายเต็มไปทั่วก็แผ่คลุมเข้ามา และระเบิดจิตสังหารที่รวดเร็วและดุดันออกมา
เห็นได้ชัดเจนเลยว่านี่เป็นการโจมตีที่ก่อตัวมาจากพลังแห่งกฎต่าง ๆ และเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบต่าง ๆ ที่แตกต่างกันอย่างมหัศจรรย์ ดาบปืนห้วงกระบี่ หอคอยระฆังเตา เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างมาก
โคจรกฎปริภูมิ ทำให้ปริภูมิบริเวณรอบ ๆ หลัวซิวเหมือนกลายเป็นหลุมดำ และกลืนกินทุกสิ่งอย่างจนหมดสิ้น
ระดับความยากไม่มาก
หลัวซิวมุ่งหน้าเดินต่อไป ผ่านไปไม่นานนัก เขาก็มาถึงด่านที่ 20
ที่นี่หลัวซิวได้พบเจอกับอสูรกายกลุ่มหนึ่ง จำนวนของพวกมันมีมากจนนับไม่ถ้วน เขาคลุมชุดรบมกุฎเทพไว้บนตัว มือถือกระบี่ไร้เงา เข่นฆ่าอยู่ในกลุ่มอสูรกายจนเลือดที่เกาะอยู่บนตัวแข็งและติดไว้อย่างแน่น ฝ่าฟันอยู่ท่ามกลางหมู่อสูรกายที่นับไม่ถ้วนคนเดียว และฆ่าฟันจนเกิดเป็นเส้นทางที่หนองเลือดหนึ่งทาง
ทุกอย่างดำเนินการต่อไปตามนี้โดยที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อหลัวซิวฝ่าถึงด่านที่ 30 ไม่นึกเลยว่าจะสัมผัสได้ถึงออร่าของกฎปริภูมิ!
ในด่านต่าง ๆ ที่ฝ่าฟันมาในก่อนหน้านี้ หรือว่าขณะที่เผชิญหน้ากับการโจมตีจากพลังแห่งกฎ หรือต้องเผชิญหน้ากับการรุมโจมตีจากอสูรกาย ทว่าสิ่งที่ปรากฏกลับเป็นเก้ากฎพื้นฐานมาโดยตลอด ซึ่งมีเพียงบัดนี้เท่านั้นที่มีหนึ่งในกฎชั้นยอดอย่างพลังกฎปริภูมิปรากฏ
ปริภูมิเคลื่อนย้าย ปริภูมิทรุดตัว ปริภูมิทำลายล้าง ปริภูมิฉีกกระชาก โซนทอร์นาโด……
กฎปริภูมิที่คงอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ มีความลึกลับและมหัศจรรย์อย่างหาที่สุดไม่ได้ซ่อนอยู่ ทำให้หลัวซิวดื่มด่ำกับมันด้วยเหตุบังเอิญ ตระหนักรู้ในความเร้นลับของกฎปริภูมิ
……
ในห้วงดาราที่เย็นเยือกและมืดมน โลงศพโบราณขนาดใหญ่ที่ทำมาจากทองแดงค่อย ๆ ลอยขึ้น บางครั้งขณะที่มันลอยผ่านดาวเคราะห์ที่มีชีวีหล่อเลี้ยงหนึ่งดวง ก็จะมีพลังออร่าสีดำที่มืดครึ้มและหนาวเย็นพลังหนึ่งพรั่งพรูออกมาเป็นวงกว้าง และผนึกทั้งดาวเคราะห์เอาไว้