หลังจากโลงศพขนาดใหญ่ที่ทำมาจากทองแดงลอยผ่านไปแล้ว ดาวเคราะห์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวาในตอนแรก ก็กลายเป็นดาวเคราะห์มรณะดวงหนึ่งไปแล้ว
“ออร่าของวัฏสงสาร เหมือนจะไกลห่างไปแล้ว……”
จู่ ๆ ก็มีเสียงพึมพำที่แหบแห้งดังออกมาจากโลงศพขนาดใหญ่นั่น และโลงศพใหญ่ที่ทำมาจากทองแดงใบนี้ ก็คือโลงศพทองแดงที่เคยพุ่งชนกับตำหนักวัฏสงสารเมื่อครั้นนั้นนั่งเอง
ตำหนักวัฏสงสารเป็นสิ่งที่กลายมาจากชิ้นส่วนหลังจากวัฏสงสารโบราณทลายสูญสิ้นแล้ว ซึ่งมีพลังแห่งวัฏสงสารซ่อนอยู่ภายใน หลังจากที่พุ่งชนเข้ากับตำหนักวัฏสงสารแล้ว ทำให้สิ่งมีชีวิตที่นอนหลับใหลอยู่ในโลงศพได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ในช่วงเวลานี้ มันลอยพลิ้วไหวอยู่ในส่วนลึกของห้วงดารา กลืนกินพลังชีวิตของดาวเคราะห์ไปไม่รู้ตั้งกี่ดวง สภาพอาการบาดเจ็บในตอนแรกก็ค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติ
“ตั้งแต่ที่จ้าววัฏสงสารดับสลายสูญเสีย ออร่าของวัฏสงสารก็ไม่เคยปรากฏนานมาก ๆ แล้ว การปรากฏในครั้งนี้ ผู้ที่ได้รับพลังแห่งวัฏสงสารและมีออร่าวัฏสงสารอยู่บนตัวนั้น จะได้เป็นผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสารรุ่นที่ 10 หรือ?”
สำหรับสิ่งมีชีวิตที่นอนหลับใหลอยู่ในโลงศพทองแดงแล้ว ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคำว่านานมาก ๆ ที่เขากล่าวถึงนั้นมันเป็นกาลเวลาที่ยาวนานมากเพียงใด
ในขณะเดียวกัน ในห้วงดาราอีกฝั่งหนึ่ง มีผู้ชายที่อยู่ในชุดสีเขียวยืนอยู่บนหินอุกกาบาตขนาดใหญ่ลูกหนึ่งพลางใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง ผมที่ยาวสลวยปลิวไปตามสายลม
แววตาของเขาลึกซึ้งและมองไปยังที่ไกล ๆ ไม่รู้ว่ามองไปทิศทางใด แต่ก็เหมือนสามารถมองทะลุผ่านกาลเวลาในอดีตและปัจจุบัน
“วัฏสงสารโบราณทลายสูญสิ้น ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะกลายเป็นผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสารรุ่นที่ 10”
คนชุดคลุมยาวเขียวถอนหายใจอย่างพรวดพราด พลิกมือหยิบเหล้าออกมาหนึ่งกา พลางดื่มเหล้าพลางพูดพึมพำคนเดียว “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกแรงทลายวัฏสงสารโบราณให้สูญสิ้น”
“เหอะ ๆ ข้าน่าจะสับสนไปเอง เจ้า ณ ปัจจุบันเป็นเพียงร่างที่กลับชาติมาเกิด ซึ่งไม่ใช่มหาศักดิ์เมื่อปีนั้น”
“เจ้าเมื่อปีนั้นไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ เพื่ออาณาประชาราษฎร์ใต้แผ่นฟ้า เจ้าใช้วิธีการทำร้ายตัวเองจนวัฏสงสารทลายสูญสิ้น……”
“จ้าววัฏสงสารตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นที่ 9 เจ้าบอกว่าเลข 9 คือขีดสุด จ้าววัฏสงสารรุ่นที่ 9 จำเป็นต้องตาย มิเช่นนั้นเมื่อเก้ารุ่นควบคุมสวรรค์ โชคชะตาของอาณาประชาราษฎร์ล้วนจะถูกควบคุมอยู่ในกำมือเขา”
“เจ้าและข้าลงมือพร้อมกัน สุดท้ายเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว ข้ามีชีวิตรอดต่อมาแต่กลับหลับใหลมายาวนานอย่างไม่รู้จบ โบราณกาลไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว ในยุคปัจจุบันไม่มีผู้ใดที่ข้ารู้จักอีก”
คนชุดคลุมยาวเขียวดื่มเหล้าไปเยอะมากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ราวกับว่าเริ่มค่อย ๆ เมาแล้ว
“ปัจจุบันเจ้ากลายเป็นผู้สืบทอดจ้าววัฏสงสารรุ่นที่ 10 อนาคตเมื่อสร้างสรรค์วัฏสงสารขึ้นมา เจ้าจะซ้ำรอยประวัติศาสตร์เหมือนอย่างที่จ้าววัฏสงสารเป็นผู้ควบคุมสวรรค์หรือไม่?”
“เจ้าบอกว่าฟ้าดินผืนนี้เป็นของอาณาประชาราษฎร์ ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาควบคุมสวรรค์ แล้วเหตุใดเจ้าถึงกระทำเช่นนี้ล่ะ?”
……
“มีคนเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับสูงสุดแล้ว!”
บนสนามจัตุรัสที่เป็นทางเข้าเส้นทางดารา คนจำนวนมากล้วนจ้องเขม็งไปที่การเรียงลำดับรายชื่อบนกระดานราชาเทพ เมื่อครู่นี้มีชื่อที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนได้เข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับสูงสุด
การที่สามารถเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับสูงสุดได้นั้น แสดงว่าศักยภาพของคนดังกล่าวอยู่หนึ่งร้อยอันดับสูงสุดของเทพฟ้าทั้งหมดในมหาโลกายอดอัมพรแล้ว ต้องท้าวความก่อนว่าราชาเทพในมหาโลกายอดอัมพรนั้นมีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน หนึ่งร้อยอันดับสูงสุดก็เพียงพอที่จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในร้อยล้านแล้ว!
ซึ่งอัจฉริยะที่เข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับสูงสุดนั้น มีนามว่าเสี่ยวจื่อ ฟังแล้วเหมือนจะเป็นสตรีนางหนึ่ง
เมื่อเปรียบเทียบกับกระดานมกุฎเทพและจ้าวมหาเทพแล้ว กระดานราชาเทพจะได้รับความสนใจจากผู้คนมากกว่า เนื่องจากนี่เป็นตัวแทนของเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการปรากฏของแดนเทวนิรันกาล มีเงื่อนไขจำกัดว่ามีเพียงผู้ที่อยู่ต่ำกว่ามกุฎเทพเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปภายในได้ ซึ่งผู้เข้าแข่งขันที่มีพลังมากที่สุด ก็คงจะเป็นเหล่าผู้คนที่อยู่บนกระดานราชาเทพอย่างไร้ข้อสงสัยเลย
แต่ทว่าโควต้าของมหาโลกาพันสามมีขีดจำกัด มหาโลกายอดอัมพรมีเพียง 10 โควต้า การแข่งขันช่วงชิงอีกห้าโควต้าที่เหลือต้องโหดเหี้ยมมากแน่นอน
หลัวซิวไม่ทราบแต่อย่างใดว่าเสี่ยวจื่อเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับสูงสุดแล้ว แต่เขากลับหยุดอยู่ที่ด่านที่ 37 ดื่มด่ำกับการตระหนักรู้ในกฎปริภูมิมาโดยตลอด