ซึ่งตวนมู่ชางก็คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในเด็กรุ่นใหม่ของตระกูลตวนมู่ แสดงพรสวรรค์ด้านการกลั่นยาที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ครั้นเมื่อยังเด็ก กระทั่งถึงปัจจุบัน เขาฝึกตนมาเป็นเวลาห้าร้อยกว่าปี ย่างเข้าสู่แดนของอาจารย์ยาเซียนระดับมกุฎ ได้รับสมญานามว่าเป็นอาจารย์ยาเซียนที่อายุน้อยที่สุดในรอบหลายร้อยล้านปี
เพราะฉะนั้นถึงแม้หยุนเทียนหยูจะได้รับสมญานามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเด็กรุ่นใหม่ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับตวนมู่ชางแล้ว กิริยาท่าทางเขาก็ดูเกรงอกเกรงใจอยู่ เนื่องจากสมัยที่จีเสวียนคงยังหนุ่ม พรสวรรค์ของเขายังไม่สูงส่งเท่าตวนมู่ชางนี่เลย!
“ศิษย์พี่หยุนชมกันเกินไปแล้ว การที่น้องสามารถกลายเป็นอาจารย์ยาเซียนได้นั้น จะว่าไปสิ่งที่พึ่งพาอาศัยก็ไม่ใช่ความสามารถของตนเช่นกัน แต่เป็นการอาศัยกำลังนอก”ตวนมู่ชางยิ้มพลางพูดอย่างถ่อมตัว
แม้คำพูดที่พูดออกมาจะดูเกรงใจ ทว่าสีหน้าบนใบหน้าของตวนมู่ชางกลับเหมือนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและเป็นเรื่องธรรมชาติ จิตใจก็รู้สึกผ่อนคลายต่อการสรรเสริญเยินยอและคำชมของหยุนเทียนหยูมาก
“ฮ่า ๆ ศิษย์พี่ตวนมู่ช่างถ่อมตัวเสียจริง”
คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างพากันหัวเราะ คำพูดที่พูดออกมาก็ล้วนเป็นคำสรรเสริญเยินยอและคำชมเชย
“ได้ยินมาว่าอาจารย์เสวียนคงรับศิษย์แล้ว พี่ตวนมู่ทราบเรื่องนี้หรือไม่?”
ในระหว่างที่พูดคุยกันอย่างเฮฮาอยู่นั้น จู่ ๆ หยุนเทียนหยูก็พูดถึงเรื่องนี้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่าทางการดื่มเหล้าของตวนมู่ชางก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วผงกหัว “ก็เคยได้ยินกับหูอยู่บ้าง”
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตระกูลตวนมู่ยอมลดเกียรติเพื่อจีเสวียนคง พูดได้เลยว่าบุญคุณความแค้นและการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายบนวิถียานั้นดำเนินการมาหลายปีแล้ว ตวนมู่ชางก็ตั้งปณิธานเช่นกันว่าอนาคตตนต้องกลายเป็นมหาปรมาจารย์ยาเซียนคนหนึ่ง ถึงตอนนั้นค่อยเอาชนะจีเสวียนคงบนวิถียา แย่งชิงสมญานามตระกูลกลั่นยาอันดับหนึ่งของตระกูลตวนมู่กลับคืนมา
“เหอะ ๆ ได้ยินพี่ตวนมู่บอกว่าจะตั้งปณิธานให้อยู่เหนืออาจารย์เสวียนคง แต่ข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยพี่ตวนมู่ก็ต้องโค่นล้มลูกศิษย์ของท่านให้ได้ก่อน ถึงจะมีโอกาสอยู่เหนือท่าน”
หยุนเทียนหยูอมยิ้ม “อาจารย์เสวียนคงมีความประสงค์จะรับศิษย์ตั้งแต่แปดหมื่นปีที่ผ่านมาแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ผู้ที่ไปกราบไหว้ครูมีมากดั่งปลาในแม่น้ำ เยอะมากจนยังไม่ถ้วน ทว่ากลับทำสำเร็จเพียงคนเดียว เท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพรสวรรค์ด้านการกลั่นยาของเขาน่าจะไม่ธรรมดามาก ๆ ”
“การที่สามารถทำให้อาจารย์เสวียนคงรับเป็นลูกศิษย์ได้นั้น ช่างเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ข้าก็อยากพบเห็นรู้จักสักหน่อยเช่นกัน”ตวนมู่ชางยิ้มพลางพูด
ในความเป็นจริงการมาสนามจัตุรัสเส้นทางดาราในครั้งนี้ ตวนมู่ชางก็มาเพื่อหลัวซิวนี่แหละ ในเมื่อเขาตั้งปณิธานแล้วว่าจะต้องอยู่เหนือจีเสวียนคง เช่นนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือเอาชนะลูกศิษย์ของจีเสวียนคง
เมื่อได้ฟังคำพูดของตวนมู่ชาง สีหน้าของวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมากที่นั่งอยู่ในที่เกิดเหตุต่างดูพิลึก ในขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนมากทำสีหน้าสนใจเช่นกัน เนื่องจากเห็นได้ชัดเจนเลยว่าต่อไปจะมีเรื่องสนุกครึกครื้นให้ดูแล้ว
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศกลุ่มหนึ่งก็เดินออกไปจากภัตตาคารอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร โดยที่มีหยุนเทียนหยูและตวนมู่ชางเป็นผู้นำ จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยมที่หลัวซิวพักอาศัย
จากความสามารถด้านข่าวกรองที่ตระกูลตวนมู่ยึดกุม การจะตามหาที่พักของหลัวซิวบนสนามจัตุรัสเส้นทางดารานั้น เป็นสิ่งที่ทำง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคือทุกกิริยาท่าทางของเขาบนสนามจัตุรัสเส้นทางดาราล้วนมีคนรับหน้าที่จับตาดูโดยเฉพาะ
เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในแดนเทวนิรันกาล ดังนั้นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพจำนวนมากจึงไม่ได้ปกปักรักษาอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะมีเฒ่าประหลาดจ้าวมหาเทพบางส่วนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวทางฝั่งนี้ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดออกหน้ามาจัดการ
อย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นมหาปรมาจารย์ยาเซียนอย่างจีเสวียนคง หรือภูมิฐานที่มีอำนาจของตระกูลตวนมู่ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกเฒ่าประหลาดจ้าวมหาเทพอย่างพวกเขาสามารถเผชิญหน้าได้
มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตวนมู่ชางไม่ได้เปิดประตูเดินเข้าไปแต่อย่างใด แต่เป็นการพลิกมือหยิบจดหมายเชิญสีทองใบหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของ แล้วยื่นให้ผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกาย