“ว่าอย่างไรนะ?!”
เมื่อบรรพอาจารย์ตวนมู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ร่างเขาก็ผงะไปทั้งคน ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ได้สังเกตด้วยว่าลักษณะท่าทีในการพูดของจีเสวียนคง เหมือนผู้อาวุโสกำลังอบรมสั่งสอนผู้น้อยคนหนึ่งอยู่
เนื่องจากเมื่อเขาลองนึกย้อนกลับไปอย่างละเอียดรอบคอบรอบหนึ่ง มันเหมือนอย่างที่จีเสวียนคงกล่าวมาจริง ๆ ตอนแรกเริ่มเจ้าหนุ่มผู้มีนามว่าหลัวซิวนั่นควบคุมระดับความร้อนของไฟไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาเพิ่งกลั่นแปรหลอมรวมอัคคีเทพชีวีสำเร็จ
แต่ทว่านี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เอง การควบคุมอัคคีเทพชีวีของเจ้าหมอนั่นก็มีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด จากต้นยาเซียนที่ถูกแผดเผาจนกลายเป็นฝุ่นผงในตอนแรก กระทั่งถึงวินาทีนี้เขาก็กลั่นต้นยาเซียนสิบกว่าต้นจนกลายเป็นยาน้ำแล้ว
ระดับความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้ มันน่าทึ่งมากเกินไปหรือเปล่า!
ต้องท้าวความก่อนว่ามาตรแม้นว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างตวนมู่ชาง ครั้นเมื่อหลังจากกลั่นแปรหลอมรวมอัคคีเทพชีวีสำเร็จแล้ว ก็ใช้เวลาอยู่หลายเดือน กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เขาถึงจะสามารถควบคุมระดับความร้อนขั้นพื้นฐานของไฟได้
อีกทั้งยังมีอีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือเขาค้นพบว่าอัคคีเทพชีวีที่หลัวซิวเรียกออกมาในเตายา ดูเหมือนกับว่าจะเป็นอัคคีเทพขั้นดำชั้นสูง!
“นะ……นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
สีหน้าของบรรพอาจารย์ตวนมู่เปลี่ยนไปในทันที เด็กหนุ่มที่มีผลการฝึกตนแค่ราชาเทพขั้น 7 คนหนึ่ง จะกลั่นแปรหลอมรวมอัคคีเทพขั้นดำชั้นสูงได้อย่างไร?
“เหอะ ๆ ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องอันใดที่เป็นไปไม่ได้ อย่าว่าแต่ราชาเทพขั้น 7 กลั่นแปรหลอมรวมอัคคีเทพขั้นดำชั้นสูงเลย มาตรแม้นว่าเป็นเทพฟ้าขั้น 7 ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถกลั่นแปรอัคคีเทพระดับนี้ได้เสมอไป”จีเสวียนคงพูดอย่างลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก
เมื่อเห็นว่าสีหน้านั่นของบรรพอาจารย์ตวนมู่เหมือนกินอึมา จีเสวียนคงก็รู้สึกสบายใจอย่างมาก การที่ราชาเทพขั้น 7 กลั่นแปรหลอมรวมอัคคีเทพขั้นดำชั้นก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้อื่นแทบจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว เช่นนั้นถ้าเกิดคนเหล่านี้ทราบว่าผลการฝึกตนที่แท้จริงของเจ้าหมอนั่นคือเทพฟ้าขั้น 7 พวกเขาจะไม่อ้าปากค้างจนคางหลุดถึงพื้นเลยหรือ?
อย่างไรก็ตามจีเสวียนคงกลับรู้สึกว่าจุดที่เก่งกาจดุจปีศาจที่สุดของหลัวซิวไม่ใช่เรื่องพวกนี้แต่อย่างใด แต่เป็นความสามารถในการตระหนักรู้ที่เลิศล้ำนั่นของเขา คนที่ฝึกสี่กฎชั้นยอดอย่างกฎการเวียนว่ายตายเกิดห้วงเวลาพร้อมกันได้นั้น ความสามารถในการตระหนักรู้นี้ไม่สามารถใช้คำว่าเก่งกาจดุจปีศาจมาพรรณนาได้แล้ว
“มิน่าเจ้าหมอนั่นถึงเอาต้นเทวหยกโลหิตออกมาเดิมพัน คาดว่าเจ้าหมอนั่นคงรู้สึกว่าต้นเทวหยกโลหิตไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาสินะ?”
วินาทีนี้ จีเสวียนคงถึงจะค้นพบว่าความสามารถในการตระหนักรู้และพรสวรรค์ของลูกศิษย์คนนี้ของตัวเองนั้นมันวิปริตมากเพียงใด
“หลัวซิวนั่นแพ้แน่!”
“ก็ใช่ไง ยาเสริมทั้ง 36 ชนิดที่ใช้ในการกลั่นโอสถเพิ่มดีกรี มันเพิ่งกลั่นแปรได้เพียงครึ่งเดียว ส่วนฝั่งท่านชายตวนมู่นั้นกลับเริ่มกลั่นแปรยาเซียนระดับมกุฎต้นแรกแล้ว”
“ในการดวลวิถียา ความเร็วในการกลั่นยาก็เป็นหนึ่งในการตัดสินผลการประลองเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยด้วยซ้ำ”
ในหมู่คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจด้านการกลั่นยาเช่นกัน โดยเฉพาะเหล่าผู้คนในตระกูลตวนมู่ ยิ่งมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับว่าตวนมู่ชางชนะแล้วยังไงอย่างนั้น
ตั้งแต่เริ่มกลั่นยา ตวนมู่ชางก็ไม่เคยไปสนใจลาดเลาฝั่งหลัวซิวอีกเลย เนื่องจากการดวลวิถียาในครั้งนี้เกี่ยวข้องถึงเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เขาจำเป็นต้องทุ่มสุดกำลังสามารถ
ยาเซียนระดับมกุฎถูกเขาโยนเข้าไปในเตายาทีละต้น ๆ ขอแค่กลั่นแปรยาเซียนระดับมกุฎทั้งห้าต้นให้กลายเป็นยาน้ำแล้ว ยาน้ำของยาเซียนระดับมกุฎและยาเซียนทั้ง 36 ชนิดก็จะหลอมรวมกันในขั้นตอนต่อไปแล้ว
ในขั้นตอนการหลอมรวม จำเป็นต้องใช้เคล็ดโอสถเสริม ถึงครานั้นก็ค่อนข้างจะกลั่นสบายกว่ามาก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หลังจากที่กลั่นแปรยาเซียนทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนที่ตื่นเต้นที่สุดและสำคัญที่สุดก็ผ่านไปแล้ว จึงทำให้ตวนมู่ชางรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ในความเป็นจริงความล้มเหลวของการกลั่นยานั้น ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก็คือขั้นตอนการกลั่นยาน้ำในเมื่อครู่นี้ รวมไปถึงขั้นตอนสุดท้ายของการสำเร็จโอสถ