“เหอะ!”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ บรรพอาจารย์ตวนมู่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเจื่อน ๆ พลางพูด: “ขอแสดงความยินดีกับผู้เพื่อนยุทธ์จีด้วยที่รับลูกศิษย์ดี ๆ มาได้คนหนึ่ง รอบนี้ตระกูลตวนมู่ของข้ายอมแพ้”
บรรพอาจารย์ตวนมู่เข้าใจผลลัพธ์สุดท้ายดีมาก ๆ ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการรอประกาศผลแล้วทำให้ตระกูลตวนมู่พ่ายแพ้อย่างอับอายขายขี้หน้า จะดีกว่าหากยอมแพ้โดยตรงอย่างเด็ดเดี่ยว ในทางตรงกันข้ามการทำเช่นนี้จะแสดงให้เห็นถึงน้ำใจและจิตใจของตระกูลตวนมู่ได้ชัดเจนด้วย
พูดตามตรงเลยว่า ณ วินาทีนี้ในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ ถือว่าได้กอบกู้ภาพลักษณ์หน้าตาเสี้ยวสุดท้ายให้แก่ทั้งตระกูลแล้ว
ยอมแพ้?
ตวนมู่ชางผงะไปในทันที ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่นอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย: “เหตุใดจึงต้องยอมแพ้? ผู้พ่ายต้องไม่ใช่ข้าแน่นอน!”
“เปิดเตาพิสูจน์ยา!”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ตวนมู่ชางมองข้ามแววตาและเจตนาของอาจารย์ตระกูลตนไปโดยสิ้นเชิง ความคิดทั้งหมดของเขา ณ วินาทีนี้มีเพียงเรื่องที่ว่าต้องพ่ายแพ้ไม่ได้เด็ดขาด เขายึดมั่นว่าตัวเองถึงจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในวิถียา ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับตนเองได้
ตั้งแต่เล็กจนโตข้าตบะทุกวันทุกคืน ขะมักเขม้นตั้งใจฝึกตนอย่างมากจนลืมกินลืมนอน เพื่อเป็นการกลั่นแปรอัคคีเทพขั้นดำชั้นกลางหนึ่งดวง ข้านั้นยิ่งเกือบสูญเสียชีวิตไป ข้าทุ่มเทไปมากมายเช่นนี้ จะมีทางพ่ายแพ้ได้อย่างไร?
ดวงตาของตวนมู่ชางแดงเถือก ยื่นมือออกไปร่ายวิชายา ฝาของเตายาจึงบินลอยขึ้น ก่อนจะมียาเซียนบินออกมาจากภายใน 6 เม็ด
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! ……
กิริยาท่าทางของเขาคล่องแคล่วลื่นไหล เหมือนผ่านการฝึกฝนมาเป็นหมื่นครั้งยังไงอย่างนั้น โอสถเพิ่มดีกรี 6 เม็ดที่กลิ่นหอมยาเข้มข้นถูกตวนมู่ชางเก็บเข้าไปในขวดหยกหนึ่งขวด
เมื่อเก็บยาเสร็จเรียบร้อย ดวงตาที่ร้อนผ่าวของตวนมู่ชางจึงมองไปทางหลัวซิว
“เหอะ ๆ เฒ่าประหลาดตวนมู่ สมแล้วที่เจ้าเด็กคนนี้มีเชื้อตระกูลตวนมู่ของพวกเจ้า อุปนิสัยที่ยืนหยัดในความคิดของตัวเอง จะทำจนถึงที่สุดและแพ้ไม่เป็นนั้น เหมือนเจ้าในอดีตทุกประการเลย”จีเสวียนคงยิ้มพลางพูดเย้ยหยันคำหนึ่ง
สีหน้าของบรรพอาจารย์ตวนมู่หม่นหมองดุจก้นหม้อ ทว่าเรื่องราวดำเนินการมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน
“หวังว่าเจ้าชางจะสามารถแบกรับผลกระทบของความล้มเหลวในครั้งนี้ได้ ชีวิตของเจ้าเด็กคนนี้ราบรื่นเกินไปแล้ว หากสามารถแบกรับการขัดเกลาจากความพ่ายแพ้และความล้มเหลว บางทีมันอาจเป็นผลดีต่อเขาก็ได้”
บรรพอาจารย์ตวนมู่ถอนหายใจในใจเฮือกหนึ่ง ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาเริ่มสามารถสัมผัสได้ถึงไม้ไกลฝั่งของตระกูลตวนมู่แล้ว
หลัวซิวเก็บยาขึ้นมาในระหว่างที่พูดคุยกันอย่างเฮฮา จากนั้นยาที่ทั้งสองคนกลั่นได้ก็ถูกส่งไปยังมือของเหล่าจักรพรรดิเทพที่อยู่ในงาน
ในบรรดาผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพเหล่านี้ ผู้ที่เข้าใจเรื่องการกลั่นยานั้นมีไม่มาก แต่ถ้าเกิดจะจำแนกแยกแยะความดีแย่ของเม็ดยาหนึ่งเม็ดนั้น กลับเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก
“เหอะ ๆ ตระกูลตวนมู่บังเกิดอัจฉริยะคนหนึ่งจริง ๆ อายุยังหนุ่มแต่ก็สามารถกลั่นโอสถมกุฎเซียนชั้นกลางได้แล้ว อนาคตมีความหวังก้าวขึ้นสูงแดนมหาปรมาจารย์ยาเซียนได้เลยนะ!”
ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพคนหนึ่งพูดอย่างทอดถอนใจ เนื่องจากในโอสถเพิ่มดีกรีหนึ่งเตาที่ตวนมู่ชางกลั่นได้นี้ ไม่นึกเลยว่าทั้ง 6 เม็ดจะเป็นชั้นกลางหมดเลย!
มาตรแม้นว่าเป็นอาจารย์ยาเซียนระดับมกุฎที่อาวุโสกว่า ก็ใช่ว่าจะสามารถทำถึงขั้นนี้ได้เสมอไป และยาที่กลั่นออกมาได้นั้นส่วนมากก็เป็นชั้นล่างและชั้นกลางปะปนกันไป
ในส่วนของชั้นสูงนั้น ก็มีเพียงยอดฝีมือกลั่นยาที่มาจากสำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังถึงจะสามารถทำได้
เมื่อได้ยินคำประมาณค่าจากผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพ ใบหน้าของตวนมู่ชางก็กลับมามีรอยยิ้มอย่างมั่นใจอีกครั้ง เขาเชื่อว่ารอผลการฝึกตนของตัวเองบรรลุถึงแดนมกุฎเทพและยึดกุมกฎขั้น 6 ได้เมื่อไหร่ เขาต้องสามารถกลั่นโอสถมกุฎเซียนชั้นสูงออกมาได้แน่นอน
“แต่ทว่า……”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพที่เพิ่งชื่นชมตวนมู่ชางจบก็เปลี่ยนประเด็น
แต่ทว่าอะไร?
กลุ่มคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็เงี่ยหูตั้งใจฟัง อย่างไรเสียไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทราบผลการประลองล่วงหน้าอย่างจีเสวียนคงและบรรพอาจารย์ตวนมู่ได้
“แต่ทว่าแม้ตวนมู่ชางจะดีเลิศ แต่ยอดฝีมือย่อมมีผู้เหนือกว่า!”