“พ่ายแพ้ในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะคว้าชัยชนะกลับมาไม่ได้ เจ้าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในตระกูลเรา วันวานในอนาคตยังอีกยาวนาน สักวันคอยเจ้ากลายเป็นมหาปรมาจารย์ยาเซียน เรื่องราวในวันนี้มันจักสำคัญไฉนเล่า?”
“นึกย้อนกลับไปถึงเมื่อปีนั้น ตั้งแต่ที่อาจารย์พ่ายแพ้ให้กับจีเสวียนคงเป็นต้นมา ช่วงหลายสิบล้านปีที่ผ่านมาข้าก็เคยท้าประลองเขามาไม่รู้ตั้งกี่หน แต่ทุกครั้งก็พ่ายแพ้ ทว่าอาจารย์ก็ไม่เหมือนอย่างเจ้าที่ไม่สามารถแบกรับความกระทบกระเทือนได้”
“เส้นทางของเจ้าราบรื่นมากเกินไป ดังนั้นความล้มเหลวบางอย่างกลับเป็นผลดีต่อเจ้า สามารถบีบบังคับให้เจ้าพยายามยกระดับศักยภาพของตัวเองให้สูงมากยิ่งขึ้น การจะอยู่เหนือหลัวซิวนั่นก็เป็นเพียงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่เร็วก็ช้าเท่านั้นแหละ”
“ครั้งนี้เจ้าแพ้ ไม่ได้แพ้ตรงพรสวรรค์ด้านการกลั่นยาของเจ้าเทียบฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ แต่แพ้ตรงอัคคีเทพที่เขาใช้กลั่นยาคืออัคคีเทพขั้นดำชั้นสูง ส่วนของเจ้านั้นคือขั้นดำชั้นกลาง”
คำพูดทั้งหมดที่บรรพอาจารย์ตวนมู่กล่าวมา ทำให้อารมณ์อันฮึกเหิมที่แปรปรวนของตวนมู่ชางค่อย ๆ สงบลง แต่ความเกลียดแค้นในแววตาที่มีต่อหลัวซิวนั้น กลับเข้มข้นในอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ช่างเป็นยาที่ดีเสียจริง!”
กลับไปถึงโรงเตี๊ยม จีเสวียนคงก็ดูยาที่หลัวซิวกลั่นได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ขณะที่อยู่ในการดวลวิถียา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการสงสัย ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของหลัวซิว เขาจึงไม่ได้เข้าร่วมการตัดสินผลการประลองสุดท้าย
ก่อนหน้านี้ขณะที่ประลองกัน ถ้าบอกว่าสภาพจิตใจของเขาไม่กระวนกระวายนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวกลั่นโอสถมกุฎเซียนเชียวนะ อดีตเนื่องจากไม่มีอัคคีเทพชีวี มากสุดก็แค่สามารถกลั่นยาเซียนระดับ 9
แต่จีเสวียนคงนึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าลูกศิษย์คนนี้ของตัวเองจะวิปริตเช่นนี้ พรสวรรค์และฝีมือในการกลั่นยาของตวนมู่ชางนั่นแทบจะไร้ที่ติเลย แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับลูกศิษย์คนนี้ของตัวเองอยู่ดี
การที่ลูกศิษย์เป็นเช่นนี้ กลับทำให้เขาที่เป็นอาจารย์สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่น้อย เนื่องจากเขาไม่มีสิ่งใดที่สามารถสอนหลัวซิวได้ วิชากลั่นยาของเจ้าหมอนี่ก็ได้รับการชี้แนะและตระหนักรู้ได้มาจากคัมภีร์โอสถ
“ไอ้หนุ่มหลัว ครั้งก่อนอาจารย์ตกลงว่าจะช่วยเจ้ากลั่นอาวุธหนึ่งชิ้น เจ้าดูซิว่าอาจารย์กลั่นได้เป็นอย่างไรบ้าง จับถนัดมือหรือไม่?”
จีเสวียนคงยกมือโบกทีหนึ่ง หอกมังกรสีแดงหม่นเล่มหนึ่งก็ปรากฏ
“แม้หอกยุทธ์มังกรดำเมื่อก่อนหน้านี้ของเจ้าจะเป็นศัสตราวุธฟ้ากำหนดที่สามารถวิวัฒนาการได้ แต่หลังจากผ่านการคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าของอาจารย์ ศักยภาพหลังวิวัฒนาการของมันไม่มากแต่อย่างใด อนาคตมากสุดเป็นเพียงศัตราวุธราชาชั้นยอดก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว แม้แต่ศัสตราวุธระดับเจ้ายุทธจักรก็ยังบรรลุไม่ถึง”
จีเสวียนคงค่อย ๆ พูด “ฉะนั้นอาจารย์จึงยึดหอกยุทธ์มังกรดำของเจ้าของแก่นหลัก แล้วเพิ่มวัตถุดิบบางอย่างเข้าไป เพื่อหลอมฝึกมันใหม่อีกรอบ ในส่วนของจิตภัณฑ์ดั้งเดิมของตัวหอกนั้น อาจารย์ก็ช่วยเจ้าเก็บรักษาไว้เช่นกัน”
ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น หลัวซิวยื่นมือรับหอกมังกรที่ใหม่เอี่ยมมากำไว้ในมือ
หอกเทวเล่มนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน คมหอกและตัวหอกเชื่อมต่อกัน ปลายหอกยังคงเป็นรูปร่างศีรษะมังกรอยู่เช่นเคย ตรงปากมังกรอ้าออกแล้วมีคมหอกสีแดงหม่นที่ยาวเหยียดยื่นออกมาจากปากมังกร
และบนหอกก็มีลายเส้นเกล็ดมังกรที่ละเอียด เนื่องจากสีของตัวหอกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ทว่าก็ไม่สามารถเรียกมันว่าหอกยุทธ์มังกรดำได้อีกแล้ว บางทีควรจะเรียกมันว่าหอกมังกรแดงมืดจะเหมาะสมและถูกต้องมากกว่าหน่อย
“ช่างเป็นหอกที่ดีเสียจริง!”
หลัวซิวโบกสะบัดไปสามสี่ที รู้สึกว่าพลานุภาพของหอกมังกรเล่มนี้ไม่ธรรมดา มาตรแม้นว่าเป็นศัตราวุธราชาธรรมดาทั่วไป เขารู้สึกว่าก็สามารถทลายให้แตกสลายได้ภายในหอกเดียว
“ต้องเป็นหอกที่ดีอยู่แล้ว เพื่อกลั่นหอกเล่มนี้ให้เจ้า อาจารย์ลงทุนเอาเหล็กเซียนเม็ดโลหิตที่เก็บสะสมไว้ออกมาใช้หลายชิ้นเชียวนะ”
จีเสวียนคงยิ้มพลางพูด แต่เมื่อหลัวซิวได้ยินคำว่าเหล็กเซียนเม็ดโลหิตแล้ว สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เนื่องจากเขาเคยได้ยินเหล็กเซียนเช่นนี้มาก่อน มันเป็นวัตถุดิบในการกลั่นอาวุธสงครามระดับมหาจักรพรรดิ ต้องท้าวความก่อนว่าอาวุธสงครามและของขลังนั้นแตกต่างกัน อาวุธสงครามเป็นอาวุธที่ใช้สำหรับการเข่นฆ่า ดังนั้นเงื่อนไขของวัตถุดิบที่ใช้ในการกลั่นก็ค่อนข้างยุ่งยาก