การมาเยือนของพระโอรสจ้านเทียนทำให้ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างรู้สึกช็อก ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้ามาในแดนเทวนิรันกาล มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่หลงคิดไปเองว่าตนเองเก่งแน่ไม่ธรรมดา?
แต่ทว่าถึงแม้จะยโสโอหังอย่างพวกเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าพระโอรสจ้านเทียน พวกเขาก็ต้องทอดถอนใจที่ตนเทียบฝ่ายตรงข้ามไม่ติด รู้สึกนับถือในตัวเขา
ด้านหลังของพระโอรสจ้านเทียน ยังมีชายหนุ่มผมสีแดงเลือดคนหนึ่งคอยอยู่เป็นสหาย ใบหน้าของคนดังกล่าวดูดุร้าย ดูเป็นคนกำเริบเสิบสานตามอำเภอใจ ถึงแม้จะเทียบพระโอรสจ้านเทียนไม่ติด แต่ทว่าก็ไม่ด้อยกว่าเท่าไหร่นัก
“นั่นมันเยาเย่ที่ได้รับการถ่ายทอดสืบสานวิถียุทธสายเลือดจากจักรพรรดิมารบุกเบิกตามข่าวลือที่ได้ยินมิใช่หรือ?”มีสายตาของบางคนสังเกตเห็นชายหนุ่มเส้นผมสีแดงเลือดนั่น แล้วบอกตัวตนและความเป็นมาของคนดังกล่าวออกมา
ลือกันว่าเผ่าพันธุ์มารเป็นสายเลือดที่สืบมาจากสูตรโบราณในยุคดึกดำบรรพ์ หลังจากผ่านพ้นกาลเวลาที่ยาวนานแล้ว พวกมันจึงค่อย ๆ กำเนิดตัวปัญญาทิพย์ เข้าใจการฝึกตนและกลายร่างเป็นรูปร่างของมนุษย์
จากคำเล่าในตำนาน จักรพรรดิมารบุกเบิกก็ใช้วิถียุทธสายเลือดชุบสายเลือดของตัวเองขึ้นไปถึงระดับที่แข็งแกร่งมาก ๆ ยิ่งกว่านั้นคือถึงกับสามารถเทียบทัดอสูรโบราณดาราที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคดึกดำบรรพ์ได้!
พระโอรสจ้านเทียนใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง มองลงมาจากที่สูง มองไปทางจีเสี่ยวจื่อที่กำลังข้ามผ่านทัณฑ์ที่อยู่ห่างออกไปไกล มีแสงเรืองทะลุออกมาจากดวงตาเล็กน้อย
“ฮ่า! ช่างเป็นสตรีที่งดงามเสียจริง!”พระโอรสจ้านเทียนหัวเราะพลางพูด
“นึกไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ข้ามผ่านทัณฑ์จักเป็นสตรีนางหนึ่ง”เยาเย่ก็ชะงักไปเล็กน้อยเช่นกัน เขาได้รับสมญานามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในโลกาบรรพมาร แต่ปัจจุบันเขากลับไม่มีความมั่นใจในการทลายสู่แดนมกุฎเทพอย่างแน่นอน
และในเวลานี้เอง แววตาของเยาเย่ก็เคร่งขรึมขึ้นมากะทันหัน เนื่องจากเขามองเห็นหลัวซิวที่อยู่ด้านล่างแล้ว
“เจ้าเองหรือ?”
เยาเย่ไม่มีทางลืมหลัวซิวเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าฝ่ายตรงข้ามมีอสูรดูดจิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วตัวหนึ่ง เขายิ่งสันนิษฐานว่ามนุษย์จากเผ่าพันธุ์มนุษย์คนนี้ได้ฝึกพลังจักรพรรดิชั้นฟ้าของเผ่าพันธุ์มาร เคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมาร
จากนั้นสายตาของเยาเย่ก็ร่วงลงบนไหล่ของหลัวซิวอย่างรวดเร็ว อสูรดูดจิตเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองให้เล็กลง ณ วินาทีนี้มันเหมือนกิ้งก่าสีดำตัวหนึ่งเกาะอยู่บนไหล่เขา
“ท่านนี้คือ?”พระโอรสจ้านเทียนก็สังเกตเห็นหลัวซิวแล้วเช่นกัน จากตำแหน่งและตัวตนของเขา หากพูดตามหลักแล้วเขาจะไม่รู้สึกสนใจต่อผู้ที่มีออร่าผลการฝึกตนเป็นเพียงราชาเทพขั้น 7 คนหนึ่ง ทว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเข้ามาในแดนเทวนิรันกาลได้นั้น มีผู้ใดบ้างที่ผลการฝึกตนไม่ถึงกึ่งมกุฎเทพ?
ต่อให้เป็นมหาโลกาที่ย่ำแย่มากเพียงใด ก็ไม่มีทางขาดแคลนอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศระดับกึ่งมกุฎเทพแน่นอน เหตุใดถึงให้ราชาเทพขั้น 7 คนหนึ่งเข้ามายังแดนเทวนิรันกาล?
เมื่อเผชิญหน้ากับการสอบถามจากพระโอรสจ้านเทียน เยาเย่ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้จักเขาเช่นกัน แต่ทว่าเคยประมือกับเขาหนึ่งครั้ง สุดท้ายไม่มีผู้ใดพ่ายแพ้หรือชนะ”
เยาเย่ไม่ได้พูดถึงเรื่องอสูรดูดจิตและเคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมารแต่อย่างใด มิเช่นนั้นหากทำให้พระโอรสจ้านเทียนรู้สึกสนใจในตัวเจ้าหมอนี่ ไม่แน่อาจมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่เหนือการคาดหมายเกิดขึ้น
ด้านหลังของเยาเย่ยังมีอัจฉริยะเผ่าพันธุ์มารที่มาจากโลกาบรรพมารอีกสามสี่คน พวกเขาทุกคนต่างเข้าใจในความตั้งใจของเยาเย่ แววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารของแต่ละคนต่างร่วงลงบนตัวหลัวซิว
“โครม!”
ทันใดนั้นเอง อัสนีเทวสีม่วงสายหนึ่งก็ฉีกกระชากขอบฟ้า ผ่าลงมาเหมือนกระบี่เทวไร้เทียมทานเล่มหนึ่ง ตัดสับไปทางจีเสี่ยวจื่อที่กำลังข้ามผ่านทัณฑ์
นี่เป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายของทัณฑ์สายฟ้าพิโรธหลังจากเตรียมการอย่างค่อยเป็นค่อยไปมานาน ขอแค่ผ่านพ้นพลังโจมตีในครั้งนี้ไปได้ ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่แดนมกุฎเทพอย่างแท้จริง ศักยภาพก้าวทะยาน
การโจมตีในครั้งนี้รุนแรงอย่างยิ่ง ปฐพีถูกผ่าจนเกิดเป็นร่องลึกที่มองไม่เห็นก้น
สีหน้าของพระโอรสจ้านเทียนเปลี่ยนไป มังกรทองที่เหยียบอยู่ใต้เท้าฟาดหางไปมา เตรียมพร้อมที่จะบินตรงไปยังตำแหน่งที่จีเสี่ยวจื่ออยู่
“หยุด!”
เงาร่างของหลัวซิวกระพริบทีหนึ่ง แล้วมาขวางอยู่ตรงหน้ามังกรทอง