มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1949
สีหน้าของเขาดูย่ำแย่เล็กน้อย พระราชสาส์นหนึ่งม้วนสามารถปลดปล่อยพลังการโจมตีหนึ่งของมหาจักรพรรดิยุทธ์ออกมาได้เชียวนะ ทว่าก็ยังไม่สามารถสยบกระบี่ผงาดเล่มนี้ได้อยู่ดี
“วิญญาณผูกอาฆาตและญาณอาฆาตหายไปหมดแล้ว!”
และในเวลานี้เอง สีหน้าอารมณ์ของทุกคนก็ดูแปลกประหลาดขึ้นมา ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้กระบี่ตรีภพนั้น เป็นเพราะมีวิญญาณผูกอาฆาตและญาณอาฆาตลอยวนเป็นเกลียวอยู่บริเวณรอบ ๆ กระบี่ผงาด
ทว่าในเมื่อครู่นี้เอง พระโอรสจ้านเทียนกระตุ้นพลังการโจมตีหนึ่งของมหาจักรพรรดิยุทธ์ปะทะเข้ากับตัวกระบี่ตรีภพ คลื่นพลังอันน่าสยดสยองอย่างไร้ขอบเขตที่ปะทุออกมาทำให้วิญญาณผูกอาฆาตและญาณอาฆาตทั้งหมดทุกกวาดล้าง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เท่ากับขจัดอุปสรรคทุกอย่างไปได้แล้ว ซึ่งกระบี่ผงาดตรีภพอยู่ใกล้แค่เอื้อม!
“ชิ่ว! ชิ่ว! ชิ่ว! ……”
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ทุกคนก็พุ่งตรงเข้าไปอย่างห้ามใจไม่ไหว ยิ่งเข้าใกล้กระบี่ผงาดตรีภพมากเท่าไหร่ ห้วงกระบี่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารที่สูงเทียมฟ้าก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่เมื่ออาศัยของขลังระดับเจ้ายุทธจักรที่พกติดตัว ก็เพียงพอที่จะสามารถคุ้มกันชีวิตตัวเองเอาไว้ได้แล้ว
เมื่อเห็นว่ามีคนลงมือ คนอื่นที่เหลือจึงพากันลงมือทันที ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ก็มีคนนับพันพุ่งตรงเข้าไปพร้อมกัน ทุกคนล้วนอยากครอบครองกระบี่ผงาดตรีภพเล่มนั้น
ต้องท้าวความก่อนว่านั่นมันศัตราวุธสูงสุดที่สามารถสับทลายการโจมตีหนึ่งของมหาจักรพรรดิยุทธ์ได้เชียวนะ หากได้ครอบครองมันแล้วฝึกเซ่นให้กลายเป็นศัสตราวุธมรรคผลของตนเองละก็ อนาคตหากไม่มีอะไรผิดพลาด คนดังกล่าวต้องสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สูงตระหง่านในเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าสิบทศภูมิแน่นอน
ทุกคนล้วนเลือกที่จะลงมือ หลัวซิวก็จะชักช้าไม่ได้อยู่แล้ว เขาเรียกตำหนักวัฏสงสารออกมาลอยอยู่เหนือศีรษะตน ก่อนจะเร่งความเร็วของปีกเทพไร้มลทินอย่างสุดกำลังสามารถ ความเร็วรวดเร็วปานดาวตกฟ้าแลบ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความเร็วของจีเสี่ยวจื่อก็ค่อนข้างช้ามากเลย มีโล่ของขลังที่เปล่งแสงระยิบระยับลอยอยู่ข้างกายนาง เห็นได้ชัดเจนเลยว่านั่นเป็นสมบัติที่จีเสวียนคงฝึกเซ่นให้นางด้วยตนเอง
“ไสหัวออกไปให้หมด กระบี่เล่มนี้เป็นของพระโอรสอย่างข้า!”
พระโอรสจ้านเทียนตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว หากไม่ใช่เพราะเขาใช้พระราชสาส์นมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่มีผู้ใดมีความสามารถเข้าใกล้กระบี่ผงาดเล่มนี้ได้เลยด้วยซ้ำ วินาทีนี้เมื่อเห็นว่าผู้คนลงมือช่วงชิงพร้อมเพรียงกัน เขาจึงต้องโกรธเกรี้ยวจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อยู่แล้ว
มีแสงสีทองเปล่งประกายทั่วทั้งร่างกาย พลังเทวจ้านเทียนซัดสาด เขาเหมือนดั่งเทพสงครามทองคำผู้กำแหงใหญ่ วัยรุ่นยุคใหม่ทุกคนล้วนไม่สามารถต่อกรกับเขาได้
มีเกราะเทพสีทองชิ้นหนึ่งปรากฏบนร่างพระโอรสจ้านเทียน รูปแบบดูแข็งกร้าวกว่าเกราะเทพเวหากาลของหลัวซิวมาก ๆ โดยเฉพาะพลังออร่าของมันยิ่งดูน่าสยดสยองกว่ามาก ซึ่งเป็นของขลังระดับจ้าวมหาเทพชิ้นหนึ่ง
แม้ในสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ต้องมีอาวุธระดับจักรพรรดิที่จักรพรรดิเทพฝึกเซ่นอยู่แล้ว ทว่าจากศักยภาพของวัยรุ่นยุคใหม่อย่างพวกเขา ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถกระตุ้นควบคุมมันได้ ดังนั้นสมบัติที่ทรงพลังที่สุดบนตัวพวกเขา จึงอยู่ที่ระดับจ้าวมหาเทพ
แน่นอนอยู่แล้วว่าพระราชสาส์นมหาจักรพรรดิยุทธ์ รวมไปถึงฮู้เทวสรรพสิทธิ์นั้น ถือเป็นสมบัติพิเศษที่เป็นข้อยกเว้น
ตู้ม!
มู่ช่าวหวงควบคุมเรือรบระดับจ้าวมหาเทพพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างแข็งกร้าว เมื่อเขามองเห็นพระโอรสจ้านเทียน บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มที่เย็นเยือกปรากฏทันที ควบคุมเรือรบพุ่งชนไปทางพระโอรสจ้านเทียนกะทันหัน
“ไสหัวออกไปซะ!”
พระโอรสจ้านเทียนตะคอกเสียงดังลั่นอย่างเย็นเยือก เดิมทีเขาก็อยู่แดนมกุฎเทพอยู่แล้ว อีกทั้งฝึกพลังจักรพรรดิชั้นฟ้าสองประเภทพร้อมกัน บัดนี้ก็มีเกราะเทพระดับเจ้ายุทธจักรสวมอยู่บนตัวอีก กำลังรบทั้งหมดแทบจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในแดนมกุฎเทพ
เขาปล่อยหมัดออกไปจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ด้านหลังราวกับมีเงาลวงสีทองของมหาจักรพรรดิยุทธ์องค์หนึ่งปรากฏ
“ตู้มม!”
สีหน้าของมู่ช่าวหวงเปลี่ยนไปอย่างมาก เรือรบจ้าวมหาเทพที่บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง ถึงกับถูกพลังหมัดนี้ของพระโอรสจ้านเทียนโจมตีจนถอยหลังกลับ
ศักยภาพของหมอนั่นแข็งแกร่งเช่นนี้เลยหรือ?
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา มู่ช่าวหวงคิดว่าถึงแม้ศักยภาพของตัวเองจะต่างจากพระโอรสจ้านเทียนเล็กน้อย ทว่าก็เป็นเพราะพระโอรสจ้านเทียนบรรลุถึงแดนมกุฎเทพแล้ว ช่วงระยะความต่างน่าจะไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นัก
แต่เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเมื่อได้ลงไม้ลงมือกันจริง ๆ ราวกับว่าช่วงระยะความต่างของตนและพระโอรสจ้านเทียนนั้น ไม่ได้ต่างกันแค่เล็กน้อยจริง ๆ