ระดับขั้นของหอกมังกรแดงเลือดเทียบดาบรบของเยาเย่ไม่ติด ทว่าคุณภาพของวัสดุกลับอยู่เหนือดาบรบ เสี้ยววินาทีที่ปะทะเข้าด้วยกันมีเสียงดังกังวานและเต็มไปด้วยพลังดังก้องออกมา ทำให้เยาเย่ถอยหลังกลับไปหลายก้าวภายในพริบตา
“วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด!”
หลัวซิวแทงหอกหนึ่งออกไป ใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปวิวัฒนาการสองระดับความเป็นตาย กฎการเวียนว่ายตายเกิดขั้น 5 ในตอนแรกหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด และสังเกตเห็นได้ชัดเจนเลยว่าออร่ากฎที่แผ่กระจายออกมาเพียงพอที่จะสามารถเทียบทัดกฎขั้น 6 บริบูรณ์ได้แล้ว
เสียงตู้มดังลั่นขึ้นมา เยาเย่ก้าวถอยหลังกลับไปอีกครั้ง มือข้างที่กำดาบรบชาเล็กน้อย ง่ามนิ้วแตกทลายและมีเลือดสีแดงสดไหลลงมา
“แข็งแกร่งเช่นนี้เลยหรือ?”สีหน้าของเยาเย่เปลี่ยนไปอย่างมาก ตอนแรกทั้งสองไม่ได้ลงไม้ลงมือกันโดยแท้จริง ถึงแม้เขาจะคาดคะเนไว้แล้วว่าศักยภาพของคนดังกล่าวอาจจะแข็งแกร่งมาก ๆ แต่ทว่าเขากลับนึกไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้
เกรงว่าทุกคนที่อยู่ในแดนเทวนิรันกาล ก็คงมีเพียงพระโอรสจ้านเทียนที่ลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้สามารถข่มคนดังกล่าวได้
“มีคนเอากระบี่ตรีภพไปแล้ว!”
ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนอย่างตะลึงก็ดังก้องขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิว เยาเย่ หรือพระโอรสจ้านเทียนและพวกเสิ่นปิงหยู ทุกคนล้วนหยุดกิริยาท่าทางของตนแล้วหันควับไปทางตำแหน่งกระบี่ผงาดตรีภพพร้อมกัน
เมื่อไม่หันกลับไปดูยังดีหน่อย ทว่าพอหันไปแล้วทุกคนก็ต่างรู้สึกช็อก เพราะไม่นึกเลยว่ากระบี่ผงาดตรีภพจะหายไปแล้วจริง ๆ !
ในขณะเดียวกัน ทุกคนล้วนพบว่ามีลำแสงดวงหนึ่งกำลังบินตรงไปยังขอบฟ้าที่อยู่ห่างออกไปไกลด้วยความเร็วที่รวดเร็วมาก ๆ ซึ่งบนลำแสงนั่นมีออร่าของกระบี่ผงาดตรีภพปนอยู่ด้วย
“ไล่!”
มีคนตะโกนเสียงดังลั่นคำหนึ่ง ภายในเวลาชั่วขณะทุกคนล้วนไม่สนใจคู่ต่อสู้ของตน ต่างปลดปล่อยวิชาซ่อนตัวที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดของตนเองออกมา แล้วไล่ตามผู้ที่นำกระบี่ตรีภพไป
“ไอ้สารเลว!”
ในจำนวนคนทั้งหมด ปราณความโกรธเกรี้ยวของพระโอรสจ้านเทียนฮึกเหิมที่สุด เขาใช้พระราชสาส์นมหาจักรพรรดิยุทธ์ถึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์การถูกผูกมัด ทว่าท้ายที่สุดแล้วตนกลับลำบากแทนผู้อื่นเสียเปล่า แล้วจะให้เขาอดทนไหวได้อย่างไร?
เยาเย่ไม่มีความคิดที่จะพัวพันกับหลัวซิวต่อ เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรดูดจิตและเคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมารแล้ว การได้ครอบครองกระบี่ตรีภพจึงต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้มีคนจำนวนมากล้วนพยายามดูแล้ว ทว่าก็ไม่สามารถแตะต้องกระบี่ตรีภพได้แม้แต่น้อย ปัจจุบันในเมื่อมันถูกผู้อื่นเอาไปแล้ว เช่นนั้นบนตัวคนดังกล่าวก็ต้องมีความลับซ่อนอยู่แน่นอน เขาต้องทราบแน่นอนว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถเข้าใกล้กระบี่ตรีภพได้
“คิดจะหนีหรือ?”
หลัวซิวหัวเราะอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะโคจรกฎห้วงเวลา ทำให้กิริยาท่าทางของเยาเย่รวมไปถึงเผ่าพันธุ์มารเหล่านั้นช้าลงหลายเท่าตัวในทันที
“ระ……หรือว่านี่คือ……”เยาเย่เบิกตากว้าง ภายในดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยความเหลือเชื่อ
ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว หลัวซิวก็ปรากฏด้านหลังเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงฟึ่บดังขึ้น หอกมังกรแดงมืดที่เฉียบคมก็ทะลวงกะโหลกเขาโดยตรงแล้ว
“ในเมื่อเลือกที่จะลงมือต่อข้า ก็ต้องเตรียมใจต่อการเผชิญหน้ากับความตายให้พร้อม”
เสียงอันเย็นเยือกไร้ความปราณีและเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารของหลัวซิวดังก้องอยู่ข้างหูเยาเย่ ถัดจากนั้นอสูรดูดจิตก็อ้าปากกว้าง กลืนกินร่างกายเขาในทีเดียว
ในขณะเดียวกัน เผ่าพันธุ์มารที่เหลือก็ต่างได้รับผลกระทบจากกฎห้วงเวลาเช่นกัน เงาร่างของจีเสี่ยวจื่อกระพริบระยิบระยับอย่างต่อเนื่อง ใช้กระบี่ยุทธ์ในมือตัดกะโหลกของเผ่าพันธุ์มารเหล่านั้นลงมา
ร่างเนื้อถูกเฉือน ทว่าตราบใดที่ช่องจิตยังอยู่ สำหรับนักยุทธ์ที่อยู่สูงกว่าเทพมารแล้วถือว่าไม่ใช่บาดแผลที่อันตรายถึงชีวิต แต่ช่องจิตของพวกเขากลับไม่มีโอกาสที่จะได้หลบหนีเลยด้วยซ้ำ ถูกอสูรดูดจิตกลืนกินเข้าไปพร้อมกับร่างกาย
หลัวซิวฆ่าคน อสูรดูดจิตกลืนกินช่องจิต การร่วมมือระหว่างทั้งสองเข้ากันได้ดีถึงขีดสุดตั้งนานแล้ว
“เราก็ไล่ตามไปดูด้วยเถอะ”
หลัวซิวใช้ความเร็วของปีกเทพไร้มลทินพาจีเสี่ยวจื่อกลายเป็นแสงกลรุ้งยาวหนึ่งดวง
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หลัวซิวก็มาถึงห้วงดารานอกดวงดาว และเห็นว่ามีคนคนหนึ่งถูกคนนับพันรุมล้อมอยู่พอดี