มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2027
“น้องชาย อากาศเริ่มหนาวแล้ว รีบกลับมาล่ะ”หลัวซิ่วเอ๋อร์เอาเสื้อกันหนาวคลุมไหล่เขา คำพูดที่อบอุ่นได้ซึมซาบเข้าไปในหัวใจ
เขาคือผู้แข็งแกร่งแห่งวิถียุทธ์คนหนึ่ ซึ่งไม่เกรงกลัวความหนาวเหน็บแล้ว แต่ทว่าสำหรับหลัวซิ่วเอ๋อร์ เขาจะเป็นน้องชายของนางตลอดไป เป็นเจ้าเด็กน้อยที่ซุกซนน่ารักเหมือนครั้นเมื่อยังเป็นเด็ก
กาลเวลาสองร้อยกว่าปีได้ล่วงเลยไป ทว่าความรู้สึกกลับยังคงอยู่ สุดท้ายแล้วหลัวซิ่วเอ๋อร์ก็เป็นเพียงมนุษย์ทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีปัญญาที่เพียบพร้อมต่อการฝึกยุทธ์ มาตรแม้นว่าหลัวซิวจะมีอุบายต่าย ๆ ที่เลิศล้ำ ทว่าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่ถูกลิขิตมาตั้งแต่กำเนิด
นางยังคงดูสาวอยู่เช่นเคย ทว่าเนื่องจากประสิทธิผลของโอสถยั้งอายุ เมื่อพ่อแม่ที่อาวุโสตายจากไปและถูกฝังลงดิน มากสุดนางก็มีอายุไขต่อได้อีกไม่กี่สิบปีเท่านั้น นางก็จะจากไปตามกัน กลับคืนสู่ที่ที่จากมา
ซึ่งนี่คือแหล่งที่พึ่งสุดท้ายของมนุษย์ ถึงแม้จะมีวิธีการที่สามารถทำให้พวกเขามีอายุยืนได้สามร้อยปี ท้ายที่สุดก็ไม่มีทางทำให้พวกเขากลายเป็นอมตะ ไม่มีทางคงอยู่ได้นานกว่านี้
กฎแห่งสวรรค์ไร้ความปราณีอย่างนี้นี่แหละ
แต่ทว่าสุดท้ายสายเลือดของตระกูลหลัวก็ได้สืบทอดต่อไป ถึงแม้จะไม่กำเนิดอัจฉริยะวิถียุทธ์ แต่ชื่อเสียงของเขาที่อยู่ในโลกแสงดาวสามารถสืบทอดต่อไปได้หลายยุคสมัยเลย
เขาไม่มีความคิดที่จะทิ้งการถ่ายทอดสืบสานที่น่าทึ่งอะไรให้ตระกูลหลัว บางทีการให้ตระกูลหลัวสืบทอดสืบพันธุ์ในโลกแสงดาวอย่างสงบสุข ถึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่างหาก
ในระหว่างที่นึกคิด หลัวซิวก็ได้จากไปแล้ว เขาก้าวลอยขึ้นฟ้าภายในก้าวเดียว เมื่อร่างมาถึงอนัตตา ร่างกลวัฏสงสารที่สองก็กลับคืนสู่ร่างแท้ สามภพรวมหนึ่ง
เมื่อเขาเดินออกมาจากอนัตตาที่ไร้ขอบเขต มาถึงห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล ปลดผนึกผลการฝึกตนที่เขากดอัดไว้ ทำให้มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นรอบกาย ธรรมที่หลากหลายปรากฏ!
หลัวซิวย่ำเท้าเดินอยู่ในห้วงดารา วิถีนับหมื่นที่หลากหลายปรากฏ ราวกับว่าเขาคือเทพมารผู้ชี้ขาดทุกสรรพสิ่งในโลกอย่างแท้จริง เป็นผู้ไร้เทียมทานตลอดกาล
เรือรบทองคำปรากฏ เขาเหยียบย่ำลงบนเรือรบ สตรีทั้งสามนางยืนอยู่ด้านหลังเขา พลางเขม็งมองไปทางตำแหน่งที่ตั้งของระลอกคลื่นหลุมดำในจักรวาล
โครมคราม…..
จากการที่มีเสียงระเบิดดังลั่นออกมาจากระลอกคลื่นหลุมดำ ตำหนักหลังหนึ่งที่สูงตระหง่านก็พุ่งออกมาจากหลุมดำ ปะทะเข้ากับสายลมและค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น
ตำหนักสูงตระหง่านนี้ใหญ่โตมหึมาจนเหลือเชื่อ เมื่อเปรียบเทียบกับเรือรบทองคำที่หลัวซิวกำลังเหยียบอยู่ ก็แตกต่างราวฟ้ากับเหวเลย
ด้านหน้าตำหนักมีสนามจัตุรัสแห่งหนึ่ง บนสนามจัตุรัสมีนักยุทธ์นับหมื่นยืนอยู่ ซึ่งภายในนี้แค่ผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพก็มีสิบกว่าคนแล้ว แต่ละคนล้วนเป็นผู้อาวุโสผมหงอกที่พลังออร่ายิ่งใหญ่
พลังออร่าของศิษย์สำนักอิมเอี๊ยงจำนวนมากที่เหลือก็ดูน่าเกรงขามมาก อย่างต่ำสุดก็อยู่ในแดนเทพฟ้า ตั้งแต่เทพฟ้าขั้นปฐมภูมิ ช่วงกลาง ช่วงปลายตลอดจนกึ่งมกุฎเทพ มีครบทุกระดับเท่าที่ควรมี
ประตูใหญ่ของตำหนักเปิดออก เจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักอิมเอี๊ยงนั่งอยู่ด้านในอย่างโดดเด่น คนดังกล่าวคือชายวัยกลางคนที่ดูน่าเกรงขาม อยู่ในวัยหนุ่มแน่นบนวิถียุทธ์ ออร่าน่าทึ่ง มีผลการฝึกตนมกุฎเทพขั้น 9 นอกจากเฒ่าประหลาดที่ซ่อนเร้นอยู่ในโลกะอิมเอี๊ยงแล้ว เขาถือเป็นอันดับหนึ่งในโลกะอิมเอี๊ยงเลย!
ตรงกลางของตำหนักใหญ่ สำนักหนานเหมินถูกกดอัดไว้แล้ว เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“ผู้น้อยอย่างเจ้าเป็นผู้ใช้วิชาชั่วร้ายควบคุมเจ้าสำนักหนานเหมินหรือ?”แววตาของเจ้าสำนักอิมเอี๊ยงที่อยู่ในตำหนักลุกโชนดั่งเปลวไฟ จ้องมองมาทางหลัวซิวที่ยืนอยู่บนเรือรบทองคำ
บนตัวหลัวซิวมีเสื้อกันหนาวที่พี่สาวหลัวซิ่วเอ๋อร์คลุมให้ เขาใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลังอย่างสุขุมเรียบนิ่ง แววตาสงบ
“มาจากทางใดก็กลับไปทางนั้นซะ ข้าไม่อยากทำให้ห้วงดาราแห่งนี้ต้องถูกย้อมด้วยเลือด”
น้ำเสียงของหลัวซิวเรียบนิ่ง แต่ทว่ากลับทำให้สีหน้าของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในสำนักอิมเอี๊ยงหม่นหมองลง ผู้อาวุโสมกุฎเทพคนหนึ่งของสำนักอิมเอี๊ยงก้าวเท้าออกมา หัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วพูด: “พ่อหนุ่มช่างปากดียิ่งนัก หากเจ้ายอมแพ้บัดนี้อาจหลีกเลี่ยงการถูกทรมานได้บ้าง มิเช่นนั้นละก็ ข้าจักลงมือทำให้เจ้าได้ตายทั้งเป็นอย่างแน่นอน!”