มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2039
ดาวเคราะห์ที่ตระกูลเทพสงครามพักอยู่อาศัยเปี่ยมล้นไปด้วยออร่าของความดุร้ายป่าเถื่อน เนื่องจากตระกูลเทพสงครามเป็นตระกูลที่กำเนิดมาเพื่อการสู้รบ พวกเขาเลือกที่จะตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่ เพราะมองเห็นความสำคัญของอสูรโหดจำนวนมากที่คงอยู่ในพื้นที่แห่งนี้
คนในตระกูลเทพสงครามจะบุกฆ่าเข้าไปในภูเขาป่าไม้ที่รกร้างอยู่เป็นประจำ ต่อสู้เข่นฆ่ากับอสูรโหด เพื่อใช้วิธีการนี้มาขัดเกลาสัญชาตญาณการสู้รบของตน
หลัวซิวเดินอยู่บนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ เขาเก็บเรือรบทองคำกลับเข้าที่ ให้อสูรดูดจิตแปรเปลี่ยนเป็นร่างเดิม บินเที่ยวชมอยู่บนนภา
พลังออร่าของอสูรดูดจิตแผ่กระจายออกไป ในฐานะที่เป็นอสูรโบราณดาราที่มีออร่าสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุด มันจึงน่าเกรงขามและข่มอสูรโหดทุกตัวที่อยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ได้อย่างมาก
เนื่องจากอสูรโหดและอสูรกายที่คงอยู่ในปัจจุบัน ล้วนสืบทอดต่อมาโดยสายเลือดของอสูรโบราณดารา สำหรับอสูรกายและอสูรโหดตัวอื่น ๆ แล้ว พลังออร่าที่อยู่บนตัวอสูรดูดจิตก็เหมือนดั่งบรรพบุรุษ
บนดาวเคราะห์ดวงนี้มีคูเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือเมืองเทพสงคราม
ขอบเขตของคูเมืองแห่งนี้กว้างใหญ่มาก ๆ ดั่งอาณาจักรหนึ่ง สายเลือดของตระกูลเทพสงครามได้สืบทอดต่อกันมาอยู่ที่นี่รุ่นแล้วรุ่นเล่า
และในความเป็นจริงจำนวนคนในตระกูลเทพสงครามมีไม่มากเท่าไหร่นัก ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุด จำนวนคนรวมกันแล้วก็มีไม่ถึงหนึ่งแสน
เมื่อหมื่นกว่าปีที่ผ่านมา ตระกูลเทพสงครามได้ประสบพบเจอกับหายนะครั้งหนึ่ง ทำให้คนในตระกูลเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้จำนวนคนในตระกูลเทพสงครามลดฮวบอย่างรวดเร็ว จนเหลือไม่ถึงห้าหมื่นคน
หลังจากที่ผ่านพ้นมาหมื่นกว่าปีจนถึงปัจจุบัน ก็มีเพียงเจ็ดหมื่นกว่าเท่านั้น
ในส่วนของหายนะที่กล่าวถึงนั้น ก็ต้องเป็นภัยพิบัติครั้นเมื่อซือถูเจิ้งเจี้ยนส่งคนมาจัดการเทพสงครามเอกภพอยู่แล้ว
เมื่อหลัวซิวควบคุมอสูรดูดจิตย่างกรายลงไปถึงเมืองเทพสงคราม ทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในคูเมืองแห่งนี้ตื่นตกใจทันที
อยู่แถบชายแดนของธาตุดาราอัมพรเทว ผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงที่สุดในตระกูลเทพสงครามก็อยู่ระดับกึ่งราชาเทพเท่านั้น ส่วนพลังออร่าที่อสูรดูดจิตปลดปล่อยออกมากลับเพียงพอที่จะสามารถทำให้นักยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่ามกุฎเทพรู้สึกกดดันและเกรงกลัว
หัวหน้าตระกูลเทพสงครามก็ตื่นตกใจเช่นกัน ก่อนจะพาคนกลุ่มหนึ่งในตระกูลบินออกมาจากตัวเมือง
“ไม่ทราบว่าเป็นนายท่านท่านใดมาเยือนตระกูลข้า หากมีจุดใดที่ต้อนรับได้ไม่ละเอียดรอบคอบ ได้โปรดให้อภัยด้วยนะขอรับ”
หัวหน้าตระกูลในยุคปัจจุบันของตระกูลเทพสงครามคือชายที่สภาพเป็นวัยกลางคนคนหนึ่ง หุ่นร่างกำยำ มีนัยน์ตาสีทองที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเทพสงคราม
ดาวเคราะห์จำนวนมากที่อยู่ในแถบชายแดน รวมไปถึงในโลกาเทพฟ้าหรือโลการาชาเทพ ชื่อเสียงของตระกูลเทพสงครามนั้นเรียกได้ว่าโด่งดังมาก ๆ เลื่องชื่อว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งที่ตั้งตระหง่านในโลกาทั้งแปดร้อย
เมื่อเปรียบเทียบกับทั้งธาตุดาราอัมพรเทวแล้ว ตระกูลเทพสงครามก็ดูเล็กน้อยจะไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลย แค่ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพย่างกรายมาคนหนึ่ง ก็สามารถล้มล้างทั้งตระกูลเทพสงครามได้แล้ว
ดังนั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังออร่าอันแข็งแกร่งที่มากมายมหาศาลและน่าสยดสยองนั่นของอสูรยักษ์ที่หน้าตาดุร้ายน่ากลัว ทุกคนในตระกูลเทพสงครามล้วนรู้สึกหวาดกลัวถึงขีดสุด เนื่องจากศักยภาพของอสูรยักษ์ตัวนี้ อย่างน้อยสุดก็อยู่ที่ราชาเทพ และผู้ที่สามารถสยบให้อสูรโหดระดับราชาเทพตัวหนึ่งให้กลายเป็นสัตว์ที่ใช้ขี่ของตัวเองได้นั้น จักเป็นผู้ที่ตระกูลเทพสงครามสามารถรุกรานได้หรือ?
กิริยาท่าทางของหัวหน้าตระกูลเทพสงครามดูต่ำต้อยมาก ๆ สีหน้าอารมณ์ของเหล่าผู้อาวุโสสิบกว่าคนในตระกูลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ดูเคารพยำเกรงเช่นกัน กำลังยืนก้มหน้า
“ผู้ใดคือซิงเฉิน?”หลัวซิวยืนอยู่เหนือศีรษะอสูรดูดจิต ก้มมองผู้คนในตระกูลเทพสงครามพลางถามอย่างเรียบนิ่ง
“ผู้น้อยคือซิงเฉินเองขอรับ ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีเรื่องอันใดจะสั่งการขอรับ?”หัวหน้าตระกูลเทพสงครามตอบกลับอย่างเคารพและรอบคอบ
ทันใดนั้นเอง ซิงเฉินก็สัมผัสได้ว่ามีพลังออร่าที่รวดเร็วและดุดันพลังหนึ่งได้ผนึกร่างเขาเอาไว้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนเวลาได้หยุดนิ่งลงไปแล้วยังไงอย่างนั้น
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายมาก ๆ หากฝ่ายตรงข้ามมาด้วยความประสงค์ร้ายละก็ เกรงว่าแม้แต่กำลังของคนทั้งตระกูลก็ต่อต้านอะไรไม่ได้
“เจ้ายังจำหวงเทียนท่านพ่อเจ้าได้หรือไม่?”หลัวซิวถามกระแทกเสียงดัง
“ท่านพ่อข้า?”