มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2090
จู้เทียนฉงทำการดูดซับอัคคีเทพชีวีของเขาเข้าไปในร่างกาย ดูเหมือนจะเป็นการกลั่นแปร ทว่าแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากการควบคุมอัคคีเทพชีวีของหลัวซิวเท่านั้นแหละ
เมื่ออัคคีเทพที่จู้เทียนฉงดูดซับเข้าไปมีมากเท่าไหร่ เช่นนั้นหลังจากที่บรรลุถึงจุดวิกฤตหนึ่งแล้ว หลัวซิวก็จะสามารถอาศัยวิชาควบคุมไฟ แว้งกลับมาควบคุมพลังแห่งพลังอัคคีทั้งหมดของเขา
วิธีการเช่นนี้ดูเหมือนจะทำได้ง่าย ๆ ทว่ากลับไม่ใช่สิ่งที่นักยาเซียนทุกคนสามารถทำได้ วิชาควบคุมไฟของหลัวซิวมีบ่อเกิดมาจากคัมภีร์โอสถ หากพูดถึงวิชาควบคุมไฟละก็ สามารถเรียกคัมภีร์โอสถว่าบรมครูได้เลย!
ภายใต้การกดอัดด้วยวิชาควบคุมไฟของเขา จู้เทียนฉงกำลังกรีดร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่ภายในเตากลั่นยาที่กลายมาจากกฎการเวียนว่ายตายเกิด ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย
เปลวไฟที่ร้อนแรงและดุดันแผดเผาร่างกายเขา กฎความตายดูดซับแก่นชีวีของเขา เขา ณ วินาทีนี้เหมือนดั่งยาเซียนต้นหนึ่ง กำลังจะถูกหลัวซิวกลั่นแปรเป็นยาเซียนหนึ่งเม็ด
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้!”
“อย่าได้ฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดเหี้ยม!”
เสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวดังก้องขึ้นมา เมื่อเห็นว่าชีวิตนายท่านกำลังตกอยู่ในความอันตราย ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในตระกูลจู้จะนิ่งดูดายต่อไปได้อย่างไร ต่างพากันปรากฏตัว
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกตระกูล ภูมิฐานของตระกูลจู้ที่ถ่ายทอดสืบสานมาหลายสิบล้านปีก็น่าทึ่งเช่นกัน มีผู้อาวุโสสิบกว่าคนปรากฏในทันที ทุกคนล้วนมีผลการฝึกตนมกุฎเทพช่วงกลางเป็นต้นไป และยิ่งมีผู้อาวุโสส่วนมากที่เป็นมกุฎเทพช่วงปลาย
“ในเมื่อมากันแล้ว เช่นนั้นก็ไปตายพร้อมกันซะเถอะ!”
หลัวซิวดูหมิ่นดูแคลน ขยายอาณาจักรวัฏสงสารออกไป ภายใต้การพันธนาการจากกฎห้วงเวลา กิริยาท่าทางและความเร็วของทุกคนล้วนถูกทำให้ช้าลงหลายเท่า ปริภูมิแข็งดั่งถังเหล็ก ทุกย่างก้าวนั้นลำบากอย่างยิ่ง
ชัวะ!
เห็นเพียงเงาร่างของหลัวซิวหายวับไปกะทันหัน วินาทีต่อไปก็ปรากฏด้านหลังผู้อาวุโสคนหนึ่ง เตากลั่นยาที่กลายมากจากกฎการเวียนว่ายตายเกิดถูกเปิดออก ก่อนจะดูดร่างผู้อาวุโสคนดังกล่าวเข้าไปจนเสียงดังตั่ง
ถัดจากนั้นร่างกายของหลัวซิวก็ดับสูญไปอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ก็จะทำการโยนผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของตระกูลจู้เข้าไปภายในเตากลั่นยา
มีเพียงผู้อาวุโสที่ผลการฝึกตนบรรลุถึงมกุฎเทพช่วงปลายที่มีแรงต่อต้านเล็กน้อย แม้กิริยาท่าทางและความเร็วจะได้รับผลกระทบ ทว่าผลการฝึกตนพลังเวทย์ทั้งตัวกลับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับความเร็วที่ไม่อาจคาดเดาได้ของหลัวซิวที่ยึดกุมกฎห้วงเวลา ผู้อาวุโสมกุฎเทพช่วงปลายเหล่านี้ก็ต้านทานได้ไม่นาน จากนั้นก็ถูกเขาโยนเข้าไปในเตากลั่นยาด้วย
โครมคราม……
มีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังอยู่ภายในเตากลั่นยา หลัวซิวใช้มือข้างหนึ่งประสานอิน ใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปวิวัฒนาการพลังอมตะด้วยมือข้างเดียว กดอัดผู้แข็งแกร่งจำนวนมากของตระกูลจู้ที่อยู่ภายในเตากลั่นยา ทำให้พวกเขาไม่สามารถหลุดพ้นออกมาจากความลำบาก
“ยังมีผู้ใดที่อยากลงมือต่อข้าอีก เข้ามาพร้อมกันได้เลย!”
หลัวซิวกลับไปนั่งบนราชรถอีกครั้ง น้ำเสียงที่เรียบนิ่งไม่หวาดกลัวดังก้องอยู่ในห้วงดารา
ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายที่อำพรางอยู่ในอนัตตานิ่งเงียบกันไปหมดแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือสามารถพูดได้เลยว่าจิตใจของแต่ละคนนั้นตกตะลึงอย่างยิ่ง
นายท่านตระกูลจู้นั้นเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งมากเพียงใด? ไม่นึกเลยว่าแม้แต่เขาและผู้อาวุโสจำนวนมากล้วนถูกกดอัดผนึก ชายหนุ่มผู้มาจากโลกาชั้นฟ้าคนนี้แข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่?
อย่างไรเสียที่นี่ไม่ใช่สำนักเขา ดังนั้นสามสำนักหกตระกูลก็ไม่มีทางปล่อยอำนาจทั้งหมดที่แฝงอยู่ออกมาได้เช่นกัน ซึ่งหลัวซิวก็คำนึงถึงจุดนี้พอดี ดังนั้นเขาถึงกล้าบุกเข้ามาในดาราอัมพรเทวตัวคนเดียว
เนื่องจากเขาทราบอยู่ว่าสามสำนักหกตระกูลในดาราอัมพรเทว ล้วนสืบทอดมาจากผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพ นอกเหนือจากตระกูลจ้าวที่ได้รับการถ่ายทอดสืบสานจากจ้าวมหาเทพผู้บุกเบิกโลกะธาตุดาวแห่งนี้แล้ว กองกำลังใหญ่อื่น ๆ ที่เหลือก็มาจากโลกาชั้นฟ้าหรือได้รับการสืบสานของจ้าวมหาเทพในสถานที่อื่น ๆ เช่นกัน
แม้จะถูกจำกัดโดยเกณฑ์ของโลกามนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งถึงบัดนี้ ในการถ่ายทอดสืบสานเหล่านี้ไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพบังเกิดมาก่อนเลย ทว่าในกาลเวลาหลายแสนล้านปี พวกเขาก็บ่มเพาะอัจฉริยะแล้วส่งขึ้นไปยังโลกาชั้นฟ้าได้บ้าง ต่อมาหลังจากผ่านการฝึกฝนในโลกาชั้นฟ้าแล้ว อัจฉริยะเหล่านั้นก็กลายเป็นจ้าวมหาเทพ
ด้วยเหตุนี้หลัวซิวจึงสามารถยืนยันได้ว่าในสามสำนักหกตระกูล ต้องมีอุบายและภูมิฐานที่ผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพทิ้งไว้แน่นอน ซึ่งนี่ถึงจะเป็นจุดที่ทำให้เขาหวาดกลัวต่างหาก