เมิ่งเชียนชางตะลึงจนหน้าถอดสี ทว่าทุกอย่างก็สายไปแล้ว แสงดาบแต่ละดวงตัดสับลงมา ถึงแม้พลานุภาพของตำหนักวัฏสงสารที่เขาปล่อยออกมานั้น เป็นสิ่งที่หลัวซิวไม่สามารถเทียบเคียงได้ แต่ก็ต้านทานไม่ได้อยู่ดี
ฉึก!
แสงดาบพุ่งผ่านห้วงอากาศ ทะลวงเกราะป้องกันของตำหนักวัฏสงสารโดยตรง ทำให้ร่างกายที่กลายมาจากวิญญาณชีวีเสี้ยวหนึ่งของเมิ่งเชียนชางแหลกสลาย
“เมิ่งเชียนชาง มึงคิดว่าทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในแผนการของมึงไม่ใช่หรือ?”
ชุดเกราะสีขาวคลุมร่าง มือทั้งสองข้างของจี้หวูชวงคลายดาบออก เหลือเพียงตำหนักวัฏสงสารหนึ่งหลัง ส่วนเมิ่งเชียนชางนั้นก็ถูกนางสังหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“จี้หวูชวงนังชั้นต่ำ มึงมันเป็นกะหรี่ที่สมควรตาย! มึงคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถฆ่ากูได้หรือ? กูกลับชาติไปเกิดตั้งนานแล้ว สิ่งที่มึงสังหารนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวความคิดที่กูฝากฝังไว้ในชิ้นส่วนวัฏสงสารเท่านั้น!”
ร่างกายของเมิ่งเชียนชางดับสลายหาบไปตรงหน้า เสียงของเขาดังก้องอยู่ห้วงจักรหยั่งรู้ของหลัวซิว
“กงล้อวัฏจักรธรรมพังทลาย วัฏสงสารฟ้าดินไร้จ้าว มึงคิดว่ามึงมีเพียงมึงที่กลับชาติไปเกิดหรือ?”
จี้หวูชวงแค่ยิ้มอย่างดูหมิ่น จากนั้นนางก็ออกมาตัวหยั่งรู้แห่งนี้ มาถึงด้านนอก ก่อนที่สายตาจะร่วงลงบนตัวหลัวซิว
การเพ่งมอง ณ วินาทีนี้ ราวกับถูกหยุดนิ่งตลอดกาล นางอยากให้เวลาหยุดอยู่ ณ วินาทีนี้มาก ๆ ให้นางสามารถมองเขาเงียบ ๆ เช่นนี้ก็ได้ ให้มองดูอย่างนี้ตลอดชีวิตก็ได้!
“ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่ในแผนการของเจ้า แม้นข้าจักทราบว่าเมื่อปีนั้นสาเหตุที่เจ้ายอมสละชีพเพื่อช่วยข้า แท้จริงแล้วก็เพื่อจงใจให้เมิ่งเชียนชางควบคุมวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของเจ้าไป”
“ที่เจ้ากล่าวมานั้นมันไม่มีผิดเลยสักนิด เมิ่งเชียนชางสูญเสียกงล้อวัฏจักรธรรม หลังจากที่ควบคุมวิญญาณของเจ้าไปแล้ว มันก็จะบ่มเพาะวิญญาณของเจ้าเพื่อให้กลับชาติไปเกิด หวังว่าสักวันจะสามารถหลอมสร้างกงล้อวัฏจักรธรรมกลับคืนมาใหม่”
“เจ้าบอกว่าเจ้าจะเดินบนเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เจ้ากลับพบว่าตัวเองเลือกเดินผิดทาง ดังนั้นเจ้าจึงอยากปลงตก ตัดขาดกับอดีต ใช้วิญญาณเสี้ยวหนึ่งกลับชาติไปเกิด กลับไปเริ่มต้นใหม่”
“เจ้ายังบอกอีกว่าหลังจากกงล้อวัฏจักรธรรมพังทลายไปแล้ว วัฏสงสารฟ้าดินก็จักไร้ผู้ควบคุม ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการกลับชาติมาเกิด โอกาสที่เจ้าจะได้ตามหาเส้นทางที่สูงสุด”
“เจ้ายังบอกอีกว่าเจ้าไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน เจ้าบอกให้ข้าลืมเจ้า ทว่าข้ากลับทำมิได้……”
จี้หวูชวงลูบไล้ใบหน้าของหลัวซิว ถึงแม้โฉมหน้าของเขา ณ วินาทีนี้จะไม่ใช่ไท่ซ่างฉิงก็ตาม แต่ทว่านางกลับทราบอยู่ว่านี่คือร่างที่วิญญาณเสี้ยวหนึ่งของไท่ซ่างฉิงกลับชาติมาเกิด
ในฐานะที่นางเป็นเงาวิญญาณเสี้ยวหนึ่ง ไม่ควรมีน้ำตา แต่ทว่าวินาทีนี้นางกลับน้ำตานองหน้า น้ำตาวิญญาณแต่ละเม็ดร่วงลงบนใบหน้าหลัวซิว หลอมรวมเข้าไปในร่างกายเขา ทำให้วิญญาณดั้งเดิมของเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
เงาวิญญาณสลายหายไปแล้ว นางนำพลังแห่งวิญญาณทั้งหมดของตนเองทิ้งไว้ให้หลัวซิว หากพูดให้แม่นยำก็คือนางทิ้งไว้ให้ไท่ซ่างฉิง
“ ข้าก็จักกลับชาติไปเกิดแล้ว ส่วนเจ้านั้นคือความลุ่มหลงของข้า ข้าเชื่อว่าเราจะได้พบหน้ากันอีก”
……
ก็ไม่รู้เช่นกันว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลัวซิวค่อย ๆ ได้สติกลับคืนมาจากการสลบไสล สิ่งแรกที่เขาทำก็คือตรวจสอบตัวหยั่งรู้ของตัวเอง เนื่องจากเขาจำได้อย่างชัดเจนเลยว่าตัวเองหมดสติไปเพราะแรงสั่นสะเทือนจากควันหลงที่ตำหนักวัฏสงสารและมือหยกข้างหนึ่งพุ่งชนกัน
อยู่ท่ามกลางควันหลงการปะทะที่น่ากลัวเช่นนั้น เดิมทีเขาคิดว่าการที่ตัวเองไม่ตายนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว ตัวหยั่งรู้ต้องถูกทลายจนเละไม่เป็นท่าแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือตัวหยั่งรู้ไม่เพียงไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามวิญญาณดั้งเดิมกลับแข็งแกร่งกว่าอดีตมาก ๆ
พลังแห่งตัวสำนึกของเขาก็ได้รับการยกระดับ จากมกุฎเทพช่วงปลายบรรลุถึงมกุฎเทพขั้นสูง โดยเฉพาะวิญญาณดั้งเดิม ยิ่งแข็งแกร่งกว่ามกุฎเทพขั้นสูงหลายเท่าตัวเลย
“นี่คือได้ดีจากเรื่องร้ายหรือ?”
หลัวซิวไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ การยกระดับของวิญญาณดั้งเดิมและตัวสำนึก ทำให้จิตใจเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจ