ทันใดนั้นเองรูม่านตาเขาก็หดลง มองเห็นหินอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ลอยขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในห้วงดารา ซึ่งพบเจอหินอุกกาบาตประเภทนี้ในห้วงดาราได้บ่อยมาก ๆ และสาเหตุที่หินอุกกาบาตลูกนี้ดึงดูดความสนใจของหลัวซิวได้นั้น เป็นเพราะเขามองเห็นเงาดำร่างหนึ่งบนหินอุกกาบาต
ชุดสีเขียวล้วน มีท่าทางทะนงตัวสันโดษอยู่ในโลก ซึ่งคนดังกล่าวก็คือคนชุดเขียวที่ถูกเขาปลุกตื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ณ สนามรถโบราณนอกโลกาดาราอุดร!
คนชุดเขียวคนนี้ลึกลับมาก ๆ อดีตมีครั้งหนึ่งที่หลัวซิวเคยคิดว่าคนชุดเขียวคือคนคนหนึ่งที่เขารู้จักในภพชาติใดพบชาติหนึ่ง
เนื่องจากคนชุดเขียวเคยบอกกับเขาว่าผู้แข็งแกร่งในอดีตอย่างเจ้าก็ดับสลายสูญสิ้นแล้ว……
หลัวซิวควบคุมเรือรบทองคำให้จอดลง ก่อนจะกระโดดขึ้นฟ้า ทะลุไปมาอยู่ในห้วงดาราจักรวาล มุ่งหน้าตรงไปยังหินอุกกาบาตที่คนชุดเขียวยืนอยู่
จีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามนางไม่ได้ตามไปด้วย แค่มองกิริยาท่าทางของเขาอย่างรู้สึกแปลกใจ เนื่องจากหลัวซิวมองเห็นคนชุดเขียวบนหินอุกกาบาตนั่น ทว่าจีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามนางกลับมองไม่เห็นอะไรเลย
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หลัวซิวก็มาถึงบนหินอุกกาบาต แล้วเขม็งมองเงาหลังของคนชุดเขียว
เงาหลังของเขาเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยว ราวกับว่าในดาราจักรวาลที่กว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขตนี้ มีเพียงเขาที่เดินอยู่บนวิถีใหญ่คนเดียว โดดเดี่ยวเดียวดาย เปล่าเปลี่ยวไร้ที่พึ่ง
ทันใดนั้นเองคนชุดเขียวก็ถอนหายใจเฮือกยาว เขาค่อย ๆ หันหลังกลับมา สายตาร่วงลงบนตัวหลัวซิว
หลัวซิวอ้าปากกำลังจะพูดบางอย่าง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด กลับพบว่าคนชุดเขียวยกมือขึ้นมาแล้วขยำมือทีหนึ่ง รังสีดาบที่แฝงอยู่ภายในร่างกายก็บินออกมาจนเสียงดังชิ่ว ก่อนจะร่วงลงบนมือคนชุดเขียว
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ลูกตาดำของหลัวซิวก็ดูเข้มงวดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของรังสีดาบนี้อย่างลึกซึ้งเลยล่ะ แต่คนดังกล่าวกลับสามารถกำไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย แล้วคนชุดเขียวแข็งแกร่งมากเพียงใดกันแน่?
คนชุดเขียวเขม็งมองรังสีดาบที่อยู่บนมือ มีความรู้สึกที่หวนรำลึกถึงอดีตทะลุออกมาจากดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้น
ราวกับเขากำลังหวนรำลึกและเหมือนกำลังเหม่อลอย หลังจากผ่านไปนานมาก เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองหลัวซิว เสมือนสามารถมองทะลุความคิดในใจเขาได้ยังไงอย่างนั้น
“เจ้าคิดว่าข้าแข็งแกร่งมากเลยหรือ?”คนชุดเขียวยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง เบาะนั่งทรงกลมสองใบจึงปรากฏตรงหน้าหลัวซิว
เห็นเพียงคนชุดเขียวพลางสอบถามพลางนั่งท่าขัดสมาธิลงบนเบาะนั่งทรงกลม
หลัวซิวรู้สึกสงสัยในใจ ทว่ากลับอดกลั้นความคิดที่จะสอบถามเอาไว้ จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเบาะนั่งทรงกลมเช่นกัน ก่อนจะตอบกลับ: “ตกลงท่านคุณแข็งแกร่งมากเท่าไหร่นั้น ข้าไม่ทราบ ทว่าแข็งแกร่งกว่าทุกคนที่ข้าเคยพบเห็นมากอย่างแน่นอน”
“ไม่ ข้าไม่แข็งแกร่ง หากข้าแข็งแกร่งมากละก็ แล้วจักหลับใหลอยู่ ณ ท้องที่แห้งแล้งกันดารนั่นมายาวนานอย่างไม่รู้จบได้อย่างไรเล่า?”
คนชุดเขียวส่ายหน้า “หากจะพูดถึงผู้แข็งแกร่งจริง ๆ ละก็ เจ้าในอดีตนั้นสมกับคำเล่าขานเชียวล่ะ โลกามหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งแปดในจักรวาลนี้ หากพูดถึงเรื่องความปราดเปรื่อง พรสวรรค์และแดน ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับเจ้าได้!”
“ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่านคุณ ท่านคุณบอกว่าข้าในอดีต หมายถึงภพชาติหนึ่งในวัฏสงสารของข้าหรือ?”หลัวซิวถามอย่างรู้สึกสงสัย
“เจ้าอยากทราบชาติปางก่อนของเจ้าหรือไม่?”จู่ ๆ คนชุดเขียวก็เอ่ยปากถาม
“เรื่องนี้สำคัญมากเลยหรือ?”หลัวซิวส่ายหน้า “เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไรนั้น ล้วนเป็นเพียงอดีตแล้ว ข้าคงอยู่ ณ ปัจจุบัน ก็คือตัวข้าในปัจจุบัน!”
“เหอะ!”
จู่ ๆ คนชุดเขียวก็หัวเราะออกมา “มาตรแม้นว่ากลับชาติมาเกิดแล้ว ดูท่าอุปนิสัยของเจ้าก็ยังคงเป็นเหมือนเก่า เจ้าเมื่อหลายแสนล้านปีก่อน บอกว่าจะปลงตกตัดขาดกับอดีต เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เจ้าไม่ยี่หระแล้วจริง ๆ หรือ?”
“ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านคุณกล่าว”
“เจ้าต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว!”
รอยยิ้มบนใบหน้าคนชุดเขียวหายไป สีหน้าอารมณ์ก็ดูเย็นชาขึ้น “หวูชวงยอมทำทุกอย่างเพื่อเจ้า สามารถละทิ้งทุกอย่าง ส่วนเจ้าล่ะ? ภายในจิตใจมีเพียงวิถีที่ยิ่งใหญ่ของเจ้า ตัดขาดทุกอย่างในอดีตอย่างไร้ความปราณี แล้วคนอย่างเจ้าจักเข้าใจอะไรเล่า?”