“ไท่ซ่างฉิงเอ๊ยไท่ซ่างฉิง เจ้าบอกว่าปลงตกแล้วสามารถตัดขาดจากเรื่องทุกอย่างได้ ทว่าในมุมมองของข้า การกระทำของเจ้ามันไม่เรียกว่าปลงตกด้วยซ้ำ แต่มันไร้ความปราณี! อีกทั้งเจ้าไม่เพียงไร้ความปราณี เจ้ายังไร้สัจธรรมด้วย!”
วินาทีนี้คนชุดเขียวที่สงบนิ่งยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม เขานำรังสีดาบนั่นวางลงตรงหน้าหลัวซิว แล้วยิ้มอย่างเย็นเยือกพลางพูด: “ในเมื่อเจ้าได้รับรังสีดาบนี้แล้ว ก็ควรเป็นการได้พบหน้าหวูชวงแล้ว แต่เจ้ากลับยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดูท่าทั้งหมดที่หวูชวงพูดกับเจ้ามันไร้ความหมายสินะ”
คำพูดทั้งหมดนี้ของจีเสี่ยวจื่อทำเอาหลัวซิวรู้สึกมึนงงมาก แต่เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของคนชุดเขียวฮึกเหิมเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
สุดท้ายคนชุดเขียวก็ถอนหายใจเฮือกยาวอีกครั้ง โยนรังสีดาบเข้าไปในร่างกายหลัวซิว
เขาหยิบของสองสิ่งออกมา มีลูกแก้วหนึ่งลูก และกระบี่เหล็กหนึ่งเล่ม
“เจ้าเป็นผู้ช่วยให้ข้าตื่นมาจากการหลับใหล ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าหนึ่งหน หนี้บุญคุณในครั้ง ข้าตอบแทนเจ้าแล้ว”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น คนชุดเขียวก็ใช้นิ้วชี้ไปทางลูกแก้วพลางพูด: “นี่คือลูกแก้วความทรงจำ เจ้าสามารถทราบเรื่องราวทุกอย่างในอดีตของเจ้าผ่านลูกแก้วลูกนี้ ในส่วนของเรื่องที่ว่าเจ้าจะดูหรือไม่ดูนั้น มันก็เป็นเรื่องของตัวเจ้าเอง”
“ในส่วนของกระบี่เหล็กเล่มนี้นั้น เป็นหนี้บุญคุณที่ค่าตอบแทนเจ้า ซึ่งมีห้วงกระบี่ของข้าบรรจุอยู่ภายใน สามารถทำให้เจ้าฟันดาบออกไปได้สามหน”
เมื่อสิ้นเสียง หลังจากคนชุดเขียวทิ้งของสองสิ่งนี้เอาไว้ เขาก็รีบย่างเท้าเดินเข้าไปในห้วงดารา โดยที่ไม่หันหน้ากลับมาอีก
หลัวซิวรู้สึกงุนงง ทว่าเขาสามารถสัมผัสได้อยู่ว่าดูเหมือนตัวตนในอนาคตของตัวเองจะไม่ธรรมดามาก
เขาเก็บกระบี่เหล็ก จากนั้นค่อยหยิบลูกแก้วความทรงจำมา ก่อนจะใช้ตัวสำนึกแผ่เข้าไปภายใน
……
ส่วนลึกของห้วงดาราอันกว้างใหญ่ไพศาล โลงศพโบราณทองสัมฤทธิ์ใบหนึ่งลอยพลิ้วไหวไปมา บนโลงศพโบราณมีตะเกียงไฟสีเขียวหนึ่งดวง มันดูแปลกประหลาดมากจนไม่อาจคาดเดาได้
“มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถควบคุมกงล้อวัฏจักรธรรม!”
มีเสียงที่ต่ำทุ้มดังออกมาจากโลงศพโบราณ ถัดจากนั้นไฟสีเขียวที่อยู่บนโลงศพโบราณก็ลอยขึ้น ฝาโลงเปิดออก ผู้อาวุโสที่ใบหน้าดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชนที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำก้าวเท้าเดินออกมา
มีชี่มรณะลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบกายเขา ดวงตาทั้งสองข้างไม่มีตาขาว มีเพียงตาดำที่ดูลึกซึ้ง
“ข้าปิดผนึกร่างตนนอนหลับใหลมายาวนานอย่างไม่รู้จบ ในที่สุดก็รอคอยจนวันนี้มาถึงสักที! เมื่อได้ครอบครองกงล้อวัฏจักรธรรมก็จักสามารถควบคุมวัฏสงสาร ข้าจักปล่อยให้โชคเช่นนี้หลุดมือไปได้อย่างไรเล่า?”
ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวดำสูดลมเฮือกหนึ่ง กลืนกินแสงไฟสีเขียวเข้าไปในท้อง ก่อนจะนั่งท่าขัดสมาธิลงบนโลงศพโบราณทองสัมฤทธิ์ โลงศพโบราณสั่นเทิ้มจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น แล้วพุ่งทะลวงผ่านห้วงอากาศในจักรวาลไป
เรื่องที่หลัวซิวสังหารเทพปีศาจเฒ่าในตระกูลจู้นอกเหวญาณปีศาจ ทำให้กองกำลังทั้งหลายต่างหวาดหวั่น
ในระหว่างทางที่ควบคุมเรือรบทองคำมุ่งหน้าไปยังดารานภากาศทมิฬ จู่ ๆ หลัวซิวก็ขมวดคิ้วลง เพราะสัมผัสวิกฤตการณ์หนึ่งได้
ในเมื่อครู่นี้เอง ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ ๆ หลัวซิวก็เดินออกมาจากเรือรบ หลังจากที่เขากลับมาอีกครั้ง จีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามนางพบว่าเขาดูแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ทว่าแตกต่างตรงจุดใดนั้น พวกนางก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เช่นกัน
“เสี่ยวจื่อ พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด”ทันใดนั้นเอง หลัวซิวก็ค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น แล้วเดินออกไปจากม่านแสงคุ้มกันของเรือรบ ก่อนจะพูดกับจีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามนาง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?”ใบหน้าของจีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามนางเต็มไปด้วยความงุนงง
“ทำตามที่ข้าบอก ไปคอยข้าที่ดารานภากาศทมิฬเถิด”หลัวซิวไม่ได้พูดอะไรมาก เงาร่างเขากระพริบทีหนึ่งแล้วกลายเป็นแสงกลรุ้งยาว หายไปจากวิสัยทัศน์ของสตรีทั้งสาม
จีเสี่ยวจื่อสตรีทั้งสามนางมองหน้าซึ่งกันและกัน ต่างทำตัวไม่ถูก
“ศิษย์พี่เป็นกระไรน่ะ?”
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน จู่ ๆ ท่านพี่ก็เปลี่ยนไปจากเดิม”
“ดูเหมือนกับว่าคุณชายจะเย็นชาขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนท่านเป็นผู้ที่เย่อหยิ่งจองหองมาก”