เงยหน้ามองไปทางตำหนักที่อยู่ข้างหน้า ประตูของตำหนักถูกปิดเอาไว้แน่น ๆ บนประตูมีร่องรอยของค่ายกลต้องห้าม อีกทั้งดูเหมือนกับว่าระดับของค่ายกลต้องห้ามจะไม่ต่ำด้วย
อันที่จริงหลัวซิวอนุมานออกมาได้แล้ว ทั้งเกาะแห่งนี้มีค่ายกลขนาดใหญ่จัดวางอยู่ ซึ่งตำแหน่งของตำหนักที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือจุดศูนย์กลางของทั้งค่ายกล
อ้างอิงจากมาตรฐานของมหาโลกาพันสาม ค่ายใหญ่ที่สมบูรณ์เทียบเท่าค่ายเทพของระดับมหาปรมาจารย์ อีกทั้งยังเป็นมหาปรมาจารย์ระดับขั้นสูงด้วย พลานุภาพทรงพลัง ทันทีที่กระตุ้นมัน พลานุภาพก็เทียบเท่าการโจมตีของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์เลย
ถึงแม้ค่ายกลต้องห้ามบนประตูตำหนักจะไม่ทรงพลังเช่นนั้น ทว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดก็เปิดออกได้
บรรพอาจารย์เทียนคุนคงอยู่มาหลายล้านปี ผู้แข็งแกร่งที่มีอายุไขยาวนานเช่นนี้ ขณะที่ผลการฝึกตนของตนยากที่จะเพิ่มขึ้น มีคนบางส่วนจะเปลี่ยนไปฝึกอย่างอื่น เพื่อตามหาโอกาสในการบรรลุ
ส่วนบรรพอาจารย์เทียนคุนนั้นก็มีการฝึกค่ายกลเช่นกัน ถึงแม้ระดับจะไม่สูง แต่ก็เป็นอาจารย์ค่ายเทพคนหนึ่ง
เขาอนุมานอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานมาก ๆ แล้ว แต่ก็อนุมานเรียบเรียงต้นสายปลายออกมาไม่ได้เลย
ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ต่างนิ่งเงียบมาก ๆ บัดนี้ไม่มีผู้ใดกล้ารบกวนการอนุมานของบรรพอาจารย์เทียนคุน เมื่อครู่เขาเอ่ยปากตักเตือนสองพี่น้องอูห้าวเย๋ เพราะการทะเลาะเบาะแว้งของพวกเขา ทำให้บรรพอาจารย์เทียนคุนรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย
หากประตูตำหนักเปิดออก ทุกคนล้วนเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหากด้านในมีสมบัติอะไรที่ล้ำค่าจริง ๆ ละก็ บรรพอาจารย์เทียนคุนต้องเป็นผู้ได้ครอบครองมันอย่างแน่นอน ทว่าผู้คนกลับไม่ยอมจากไปตลอดมา ต่างก็มีความคิดที่จะถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ในขณะที่เกิดความสับสนวุ่นวาย
“มีนักค่ายเทพคนอื่น ๆ อีกหรือไม่? หากผู้ใดสามารถทลายค่ายกลต้องห้ามบนประตูตำหนักนี้ได้ ข้าสามารถรับผิดชอบแทนคนคนนั้น หากด้านในมีของล้ำค่า คนคนนั้นสามารถเลือกได้ตามใจหนึ่งชิ้น”
หลังจากผ่านไปนานมาก ๆ บรรพอาจารย์เทียนคุนก็ยอมแพ้อย่างจนปัญญา สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุพลางพูด
“ข้าน้อยพอเข้าใจค่ายกลอยู่บ้างขอรับ”
เมื่อบรรพอาจารย์เทียนคุนเอ่ยปากพูด จึงมีแววตาของคนจำนวนไม่น้อยเป็นประกายขึ้นมา มีคนที่ค้นคว้าและวิจัยค่ายกลก้าวเท้าออกมา ต่างพากันเดินขึ้นมาศึกษาค้นคว้า
“สหายเซียว หากเจ้าเชื่อใจข้าละก็ พาคนอื่น ๆ จากไปตั้งแต่บัดนี้เลย จะดีที่สุดถ้าออกไปจากทะเลสาบมังกรทองได้ ไปหาสถานที่ที่ซ่อนเร้นและปลอดภัยแล้วคอยข้าที่นั่น”จู่ ๆ หลัวซิวก็พูดกับเซียวอันที่อยู่ข้าง ๆ
“สหายหลัวหมายความว่าอย่างไร?”มีรังสีแห่งความสงสัยปรากฏบนใบหน้าเซียวอัน
“เพราะข้าจะเข้าไปในตำหนักหลังนี้ และทันทีที่ข้าเข้าไป ผู้อื่นก็จะไม่สามารถเข้าไปได้ เช่นนั้นกองกำลังของพวกเจ้าก็จะกลายเป็นหนามยอกอกของคนอื่น ข้าพูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”หลัวซิวยิ้มพลางพูด
“ว่าอย่างไรนะ?”เมื่อเซียวอันได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะลึงงัน “สหายหลัวหมายความว่าเจ้าสามารถเข้าไปได้อย่างนั้นหรือ?”
หลัวซิวยิ้มอย่างไม่ปฏิเสธ “ข้ารู้สึกว่าสหายเซียวเป็นคนที่ไม่เลวเลย ดังนั้นถึงได้บอกเรื่องทั้งหมดนี้กับเจ้า หากข้าได้รับสมบัติอะไรที่อยู่ด้านในละก็ กลับไปข้าจักแบ่งให้พวกเจ้า”
“สหายหลัว เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้ล้อเล่น?”สีหน้าอารมณ์ของเซียวอันดูเข้มงวดขึ้นมา “ต่อให้สหายหลัวสามารถเข้าไปได้ ทว่าหลังจากเจ้าได้รับสมบัติแล้วจะออกมาอย่างไร? มีบรรพอาจารย์เทียนคุนเฝ้าคอยอยู่ด้านนอกเชียวนะ”
เมื่อเขานึกถึงอุบายค่ายกลที่พิสดารเป็นที่สุดของหลัวซิว เซียวอันจึงเริ่มเชื่อในคำพูดของเขาอย่างอดไม่ได้
แต่ทว่าเซียวอันก็ถือเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรอยู่ ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ เหลือคนประเภทนี้น้อยมาก ๆ แล้ว สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือหลัวซิวจะออกมาจากตำหนักอย่างไร
“หากข้าจะไป ผู้ใดสามารถขัดขวางข้าได้บ้าง? อีกทั้งหากพวกเจ้าอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีผลลัพธ์อะไรหรอก จะดีกว่าหากปฏิบัติตามข้อแนะนำของข้า ออกไปจากที่นี่ก่อนเถิด”หลัวซิวยิ้มอย่างมั่นใจ