แกร๊ก แอ๊ด!
ในที่สุด เสียงของการแตกร้าวก็พลันดังเข้ามาในหูของทุกคน ทำให้จิตใจของเหล่าจักรพรรดิเทพก็พลันฮึกเหิมตามไปด้วย ประตูใหญ่ของวังเทียนหมิงในที่สุดก็ขยับเสียที เปิดออกเป็นรอยร้าวเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง
วินาทีที่รอยแยกนี้ปรากฏขึ้น ออร่ามืดครึ้มเหน็บหนาวถึงขีดสุดราวกับลมหนาวที่โชยมาจากที่มืดได้พัดออกมาจากพระราชวัง ทำให้ทุกคนในที่นี้ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา
ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนจักรพรรดิเทพ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะรู้สึกขนลุกขนพองด้วยอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้?
“ถอย!”
มหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียนหน้าถอดสี ทันใดนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดัง ร่างกายเคลื่อนถอยหลังไปด้วยความรวดเร็ว
ในขณะที่มหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียนถอยทัพ ทุกคนก็สามารถรับรู้ได้ ต่างก็ใช้ความเร็วที่รวดเร็วที่สุดล่าถอยออกมา
ปึง!
ประตูใหญ่ของวังเทียนหมิงเปิดออกอย่างสมบูรณ์แล้ว ลมหนาวที่น่าหวาดกลัวกว่าเดิมก็พัดพานออกมา มีจักรพรรดิเทพขั้นปฐมภูมิสองคนที่เคลื่อนไหวช้าไปเพียงเล็กน้อย ถูกลมหนาวนั้นโหมกระหน่ำผ่านไป เพียงเสี้ยววินาทีก็กลายเป็นเถ้าธุลี ไม่เพียงแค่ร่างเนื้อช่องจิตเท่านั้น แม้แต่ของขลัง ทหารจักรวรรดิ หรือแหวนเก็บของของพวกเขา ทั้งหมดต่างกลายเป็นเถ้าธุลีบินว่อน!
ภาพเช่นนี้ ต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียนและมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิต่างก็หน้าถอดสี การที่จะทำได้ถึงเพียงนี้ ถึงจะเป็นพวกเขาก็ยังไม่สามารถทำได้ กระทั่งหากเมื่อครู่นี้เป็นพวกเขาทั้งสองคนที่ถูกสายลมนั้นพัดผ่านไป มหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสองต่างยังคงถามตนเองว่าไม่อาจแน่ใจได้ถึงโอกาสอันแน่นอนในการรอดชีวิตออกมา
ทุกคนต่างไม่มีผู้ใดรู้ว่าลมหนาวนั้นที่พัดพานออกมาจากด้านในวังเทียนหมิงนั้นคือสิ่งใดกันแน่ สถานที่แห่งนี้ เมื่อเทียบกับแท่นบูชาเทพมารของสถานฌาปนนภาสวรรค์แล้ว ดูเหมือนมันจะให้ความรู้สึกหวาดหวั่นขวัญผวายิ่งกว่ามากทีเดียว
อย่างน้อยที่สุดบนแท่นบูชาเทพมารของสถานฌาปนนภาสวรรค์ เพียงแค่ไม่แตะต้องโลงศพแห่งฌาปนนภาสวรรค์นั้น ในเวลาปกติก็จะไม่เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่สถานที่แห่งนี้มันต่างออกไป!
มีเพียงหลัวซิวเท่านั้น ที่นัยน์ตาเปล่งประกายสั่นไหว ผลการฝึกตนของเขา ถึงแม้ว่าจะต่ำที่สุดในบรรดาคนกลุ่มนี้ แต่ว่าวิสัยทัศน์ของเขากลับไม่มีผู้ใดสามารถทัดเทียมเขาได้เลย
ลมหนาวที่ถูกพัดโชยออกมาเมื่อครู่ เป็นพลังแห่งการทำลายล้างที่บริสุทธิ์ ซึ่งในยุคไท่ซ่างฉิงนั้น เคยมีคนพบร่องรอยไท่ชู ท่ามกลางโลกเหลือง และยังเคยมีลมหนาวประเภทนี้ปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน
ไท่ซ่างฉิงในเวลานั้นยังเด็กเกินไป เพียงแค่แดนเทพมารระดับเจ็ด ในตอนนั้นได้ฟัง ผู้เฒ่าอาวุโสท่านหนึ่งที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งในยุคนั้นเอ่ยถึงสิ่งนี้มาก่อน ลมหนาวประเภทนี้ เรียกว่ามฤตยูมหากาพย์!
นอกจากจักรพรรดิเทพขั้นปฐมภูมิสองคนนั้นที่โชคร้าย ทุกคนต่างก็หลบซ่อนอยู่นอกอาณาบริเวณที่มฤตยูมหากาพย์พัดผ่าน เห็นเพียงแค่บริเวณที่ลมหนาวนั้นพัดผ่านไป ทุกสรรพสิ่งต่างกลายเป็นผุยผงลอยละลิ่ว แม้แต่ปริภูมิก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย กลายเป็นอาณาเขตที่มืดมิดผืนหนึ่ง ในตอนที่ปริภูมิกำลังแหลกสลาย สิ่งที่กระเด็นกระดอนออกมาจากปริภูมิ ก็ถูกลมหนาวทำลายล้างในทันทีเช่นเดียวกัน
ผ่านไปชั่วครู่ ไม่มีผู้ใดกล้าเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิและมหาจักรพรรดิยุทธ์จ้านเทียนทั้งสอง ก็ยังถอยออกไปไกล สีหน้านั้นเคร่งเครียดถึงขีดสุด
หลัวซิวสามารถแน่ใจได้อย่างคร่าว ๆ ว่า มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิถึงแม้จะเคยมาที่นี่ แต่ก็ไม่เคยได้เข้าไปภายในวังเทียนหมิงเป็นแน่ ไม่เช่นนั้น ต่อให้เขาในเวลานั้นคือแดนเทพมารระดับหก ก็ไม่อาจต่อต้านความร้ายกาจของมฤตยูมหากาพย์เอาไว้ได้
ที่ต้องรู้คือ ในครั้งที่โลกเหลืองออกสำรวจร่องรอยไท่ชู ได้มีเทพมารระดับแปดมากมายที่ถูกม้วนเข้าไปในสายลม และจบลงด้วยการสลายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษเถ้ากระดูก
เมื่อเทียบกับความสยองขวัญของมฤตยูมหากาพย์แล้ว ชี่ทมิฬจิ่วโยวของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิก็ไม่ต่างกับการจามของเด็กน้อย ไม่คู่ควรกับการเอ่ยถึงแม้แต่น้อย
เดิมทีชี่ทมิฬจิ่วโยวที่มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิตรึงเอาไว้ในบริเวณใกล้เคียง ก็ถูกมฤตยูมหากาพย์พัดผ่าน และสลายหายไปอย่างไร้ซึ่งร่องรอย
หลัวซิวสังเกตว่า ร่างของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิสั่นไหวเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการที่ชี่ทมิฬจิ่วโยวถูกกวาดล้างไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่านั้น เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขา
มฤตยูมหากาพย์ราวกับพายุโหมกระหน่ำ กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ลมหนาวค่อย ๆ สลายหายไป ทุกอย่างกลับมาสู่ความสงบสุขในที่สุด