มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2404
แม้ระดับตัวสำนึกของหลัวซิวจะไม่สูงมาก แต่เนื่องจากความพิเศษของญาณเทว ทำให้เมื่อปีนั้นแม้แต่พลังโจมตีวิญญาณของชางเทียนหมิงเขาก็ยังสามารถต้านทานได้ พลังที่ส่งผลกระทบต่อตัวสำนึกวิญญาณบนดาราเมฆาทมิฬจึงทำอะไรหลัวซิวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้ประมาทเลินเล่อเช่นกัน ผ่านไปไม่นานนัก อ้างอิงจากเครื่องหมายที่บันทึกไว้บนม้วนหยก เขาก็มาถึงละแวกใกล้เคียงเขาผีเก้าที่อยู่ในส่วนลึกของดาราเมฆาทมิฬ
เมื่อมาถึงที่นี่ อัตราการปรากฏของระลอกคลื่นหลุมดำที่ดูดกลืนวิญญาณก็ยิ่งอยู่ยิ่งสูงขึ้น นี่จึงทำให้หลัวซิวเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงมีคนมาเขาผีเก้าน้อยมาก ๆ ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเขาผนึกรวมญาณเทวออกมาได้ เปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพช่วงปลายคนอื่น หากไม่ทันได้ระวังแม้แต่น้อย ก็มีโอกาสตายกลางทางสูงมาก
ตลอดทางที่เดินมา หลัวซิวก็เห็นศพไม่น้อยเช่นกัน วิญญาณดั้งเดิมของศพเหล่านั้นล้วนถูกดูดกลืน ในส่วนของเรื่องที่แหวนเก็บของและสมบัติต่าง ๆ ที่ติดตัวในตอนแรกหายไปนั้น น่าจะถูกจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ที่มาฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในดาราเมฆาทมิฬเอาไปแล้ว
เขาผีเก้า คือหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดบนดาราเมฆาทมิฬ ภูมิประเทศของที่นี่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง หากมองลงมาจากที่สูงละก็ ดูแล้วเหมือนรูปภาพของผีที่ดุร้ายน่ากลัวเก้าตัว และชื่อของเขาผีเก้าก็มีต้นกำเนิดมาจากเหตุนี้นี่เอง
หลัวซิวเดินเข้าไปในเขาผีเก้าโดยไม่ลังเลใจ ถึงแม้สภาพของที่นี่จะเหมือนมีปราณดำลอยวนเป็นเกลียวขึ้นไป และมีปราณผีที่มืดทึบน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีออร่าความมืดครึ้มและหนาวเย็นใด ๆ เลย ในทางตรงกันข้ามที่นี่จะมีรัศมีสีดำเป็นประกายกระพริบระยิบระยับอยู่เป็นระยะ ซึ่งมันเฉียบคมอย่างยิ่ง
ความเร็วของรัศมีดำเร็วมาก ๆ กระพริบผ่านไปภายในเสี้ยววินาที แม้แต่อนัตตายังถูกฉีกกระชาก มาตรแม้นว่าเป็นระดับความเร็วของหลัวซิว ก็ไม่ทันได้ตอบสนองเช่นกัน ถูกรัศมีดำทั้งหลายที่กระพริบผ่านไปโจมตีจนหน้าอกเป็นแผลเหวอะ เลือกสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาในทันที
นี่จึงทำให้สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มิน่าล่ะเขาผีเก้านี่ถึงขึ้นชื่อว่าแม้ผู้แข็งแกร่งจ้าวมหาเทพช่วงปลายเข้ามายังมีโอกาสรอดน้อยมาก ๆ
ถึงแม้ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขาจะอยู่ในแดนจ้าวมหาเทพขั้น 4 แต่กลับใช้วิชาฎีกาค่ายสลักจารึกยันต์ค่ายระดับเจ้ายุทธจักรไว้ในร่างกาย 99 ยันต์ ร่างเนื้อของเขาสามารถเทียบเคียงกับจ้าวมหาเทพช่วงปลายได้อย่างแน่นอน มากกว่านั้นคืออาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
ทว่าร่างกายที่เกะกะระรานเช่นนี้ กลับไม่มีประสิทธิผลใด ๆ เมื่ออยู่ในนี้ แค่รัศมีดำหนึ่งดวงก็สามารถฉีกกระชากเกราะป้องกันของเขาได้แล้ว
เวิ่ง!
รัศมีดวงหนึ่งกระพริบระยิบระยับขึ้นมา ซึ่งมันก็คือโล่รูปสามเหลี่ยมที่หลัวซิวได้รับมาจากคาดิสลาร์เมื่อตอนนั้นนั่นเอง นี่คือของขลังชิ้นหนึ่งที่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพฝึกเซ่นออกมา เมื่อมีของขลังคุ้มกันร่าง รัศมีดำจึงไม่สามารถทลายเกราะป้องกันของเขาได้อย่างง่ายดายอีก
ภายใต้การโคจรกฎชีวิต บาดแผลบริเวณหน้าอกจึงฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว หลัวซิวเข้าไปยังส่วนลึกของเขาผีเก้าอย่างระมัดระวัง และยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ อัตราการปรากฏของรัศมีดำก็ยิ่งมากเท่านั้น พลานุภาพก็ยิ่งทรงพลัง
แม้แต่โล่สามเหลี่ยมที่หลัวซิวเรียกออกมาก็หม่นหมองลงไปเยอะมาก ๆ รัศมีดำทั้งหลายพุ่งชนใส่โล่จนเกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกัน สะเก็ดไฟสาดกระเด็น ราวกับสามารถถูกพุ่งชนจนแตกสลายได้ตลอดเวลา
“หากอาศัยกำลังภายนอกมาชุบร่างเนื้อละก็ ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเช่นกัน”หลัวซิวหรี่ตาลง เขายังไม่มีความคิดที่จะกลั่นร่างที่นี่ หากเขาสามารถตามหาสมุนไพรมังกรสามสีได้ จากนั้นค่อยกลั่นเม็ดยาเซียนกลั่นร่างออกมา เช่นนั้นเมื่อกลั่นร่างอยู่ที่นี่ละก็ ต้องได้ผลที่คุ้มค่ามากแน่นอน
ฟึ่บ!
ทันใดนั้นเอง รัศมีหนึ่งดวงที่สีดำมากจนกลายเป็นสีม่วงก็กระพริบผ่านไป รัศมีป้องกันที่แย้มบานออกมาจากโล่สามเหลี่ยมถึงขั้นต้านทานไม่ไหว ถูกทลายไปภายในพริบตา
สัญชาตญาณของการต่อสู้ทำให้หลัวซิวตอบสนองอย่างรวดเร็ว เอนหัวหลบไปข้าง ๆ รัศมีสีดำม่วงดวงหนึ่งที่เฉียบคมแฉลบผ่านไป ทำให้ไหล่ข้างหนึ่งของเขาถูกผ่าออกจนเลือดพุ่งกระฉูด
ถัดจากนั้น รัศมีสีดำม่วงก็ปรากฏมากยิ่งขึ้น โล่สามเหลี่ยมแตกสลายจนเสียงดังปั้ง ทำให้สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไปเยอะมากอย่างควบคุมไม่ได้