มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2409
เตี๊ยง! เตี๊ยง!
เสียงโลหะกระทบการดังต่อเนื่องสองครั้ง หลัวซิวเห็นว่าของขลังรูปโล่นั่นแตกสลายไปภายในพริบตา ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าบนพื้นบริเวณรอบ ๆ มีเศษของขลังตกกระจัดกระจายอยู่เยอะมาก เห็นได้เลยว่าสตรีนางนั้นสูญเสียของขลังคุ้มกันไปหลายชิ้นแล้ว
นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกตะลึงเล็กน้อย การที่จักรพรรดิเทพทั่วไปอยากได้ของขลังอาวุธสงครามระดับจักรพรรดิเทพชิ้นหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ๆ แล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าสตรีนางนี้จะมั่งคั่งเช่นนี้ แค่ของขลังคุ้มกันระดับจักรพรรดิเทพที่พังเสียหายไป เกรงว่าก็มีสิบกว่าชิ้นแล้ว
หลัวซิวยังไม่เคยได้ยินผู้แข็งแกร่งระดับนี้ในมหาโลกาพันสาม ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าความเป็นมาของสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา บางทีนางอาจจะไม่ใช่จอมยุทธ์ในมหาโลกาพันสาม แต่มาจากโลกมหาศักดิ์
หลังจากโล่ของขลังแตกสลายไปแล้ว สตรีกระโปรงเขียวไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด มีรัศมีดวงหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างกายนางอย่างรวดเร็ว แล้วกลายเป็นของขลังหนึ่งชิ้นที่มีลักษณะคล้ายกระโจมรถที่จักรพรรดิจีนนั่ง ทำการคุ้มกันร่างกายของนางเอาไว้
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ต่อมาก็มีรัศมีสีม่วงสามสี่ดวงพุ่งเฉือนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ของขลังกระโจมรถที่นั่งนั้นก็ยืนหยัดได้เพียงครู่เดียว ก่อนจะถูกฉีกกระชากภายในพริบ
ฟึ่บ!
นางได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง เลือดท่วมแผ่นหลัง เจ็บปวดมากจนร้องเฮือกทีหนึ่ง
ถัดจากนั้นนางก็หยิบผังค่ายออกมา มีรัศมีที่แวววาวจับตาแย้มบานออกมาจากผังค่าย แล้วประกอบเป็นค่ายเทพคุ้มกันระดับหก
ค่ายเทพคุ้มกันระดับหกเพียงพอที่จะสามารถต้านทานพลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เห็นได้ชัดเจนเลยง่านางก็จนปัญญาแล้ว มิเช่นนั้นต้องไม่มีทางตัดใจนำของล้ำค่าระดับนี้ออกมาใช้แน่นอน
นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีหอคอยเทวสีทองหลังหนึ่งบินออกมาจากหว่างคิ้วนางด้วย มีแสงทองสาดส่องลงมาเป็นวงกว้าง ประกอบกับค่ายเทพคุ้มกันระดับหกจนกลายเป็นค่ายคุ้มกันสองชั้น
แค่แวบเดียวหลัวซิวก็ดูออกแล้วว่าหอคอยเทวสีทองนั่นคืออาวุธเทพระดับหก อีกทั้งระดับของอาวุธเทพระดับหกนั่นยังไม่ต่ำด้วย อย่างน้อยก็เป็นอาวุธเทพขั้นกลางชิ้นหนึ่ง หรืออาจจะเป็นขั้นสูงเลย
รัศมีสีม่วงทั้งหลายพุ่งเฉือนเข้ามา ก่อนที่นางจะพุ่งตรงไปทางไผ่เทวดวงครามด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด
แคว็ก!
ผังค่ายแตกสลายแล้ว ค่ายเทพคุ้มกันระดับหกทลาย พลังโจมตีที่น่าสยดสยองของรัศมีสีม่วง สยดสยองกว่าที่จินตนาการเอาไว้เสียอีก
จากการที่ตัวนางยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้ไผ่เทวดวงคราม รัศมีสีม่วงก็ยิ่งอยู่ยิ่งถี่ยิบขึ้น จนผสมผสานกันกลายเป็นแหขนาดใหญ่ และนางก็เหมือนแมลงเม่าที่กระโจนไปทางแหใหญ่นั่น
เตี๊ยง! เตี๊ยง! เตี๊ยง! ……
ภายในเวลาเสี้ยววินาทีเดียว มีรัศมีสีม่วงเฉือนลงบนหอคอยเทวสีทองไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ หอคอยเทวหลังนั้นแข็งแรงอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทีที่จะแตกสลายแต่อย่างใด ทว่าพลังอันเกะกะระรานที่แฝงซ่อนอยู่ในรัศมีสีม่วงกลับทะลุผ่านหอคอยเทวหลังนั้น แล้วถ่ายทอดไปยังตัวเจ้าของ
นางกระอักเลือดสีแดงสดออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายโซเซพุ่งไปข้างหน้า ในที่สุดก็ไปถึงตรงหน้าไผ่เทวดวงครามสักที
หลัวซิวมองดูภาพเหตุการณ์ดังกล่าวจากที่ไกล ๆ เมื่อเห็นว่ามีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้านาง วินาทีนี้รอยยิ้มของสตรีที่ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยบาดแผลนั้นพูดได้เลยว่างดงามถึงขีดสุด แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือหนึ่งในรอยยิ้มที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยพบในชั่วชีวิตนี้
แต่เห็นได้ชัดเจนเลยว่านางดีใจเร็วเกินไป ถึงแม้นางจะเอาไผ่เทวดวงครามมาได้แล้ว จากสภาวะของนางในตอนนี้ เกรงว่าคงพุ่งออกมาจากเขตพื้นที่ที่มีรัศมีสีม่วงผนึกยากมาก ๆ
นางได้รับไผ่เทวดวงครามมาแล้วก็จริง แต่กลับมีรัศมีสีม่วงที่ยาวเป็นร้อยเมตรพุ่งสับเข้ามา หอคอยเทวสีทองสั่นเทิ้มจนเสียงดังหึ่ง ๆ และตัวนางก็ถูกโจมตีอย่างรุนแรงภายในพริบตา ร่างกายอ่อนระทวยล้มลงบนพื้นแล้วเป็นลมหมดสติไป
หากหมดสติในเขตพื้นที่ที่มีรัศมีสีม่วงพุ่งตัดสลับกัน เช่นนั้นก็ต้องได้ตายสถานเดียวแน่นอน
“นายท่าน!”
มีปณิธานหนึ่งถ่ายทอดออกมาจากหอคอยเทวสีทอง สิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจคือหอคอยเทวหลังนั้นกำเนิดจิตภัณฑ์แล้วอย่างนั้นหรือ แม้นจะไม่มีการควบคุมและกระตุ้นจากนาง หอคอยเทวก็จะปกป้องเจ้านายด้วยตนเอง ต้านทานแสงม่วงที่พุ่งมาจากบริเวณรอบ ๆ อย่างต่อเนื่อง