มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2460
ช่าจื่อเยียนไม่ได้คิดว่าตนรอดแล้วเพียงเพราะชายชุดเขียวถูกสังหาร นางถอยหลังกลับไปสามสี่ก้าว แล้วเขม็งมองสตรีลึกลับที่อยู่ในชุดกระโปรงเขียวและใส่ผ้าคลุมหน้านั่นอย่างระแวดระวัง
“ท่านคือช่าจื่อเยียนหรือ?”สตรีกระโปรงเขียวถามอย่างผ่อนคลาย
“เจ้าก็มาจับข้ากลับไปรับเงินรางวัลที่ตระกูลจ้าวเหมือนกันหรือ?”ช่าจื่อเยียนจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวัง
สตรีกระโปรงเขียวส่ายหน้า “ข้าจักไม่จับท่านกลับไปรับเงินรางวัล สาเหตุที่ข้าช่วยท่านสังหารคนคนนี้นั้น เป็นเพราะข้าเคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับท่าน”
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับข้า?”คำพูดของสตรีกระโปรงเขียวทำให้ช่าจื่อเยียนรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากนางเข้าใจดีมาก ๆ ว่าตนไม่มีมิตรสหายในโลกะดาราอัมพรเทว เหตุใดนางจึงต้องช่วยตน?
“นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุยกัน หากท่านยินดีไปพร้อมข้าละก็ ข้าสามารถรับประกันความปลอดภัยให้แก่ท่านได้”
สตรีกระโปรงเขียวไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนจะหันหลังกลายร่างเป็นแสงกลดวงหนึ่งบินออกจากสถานที่แห่งนี้
ช่าจื่อเยียนรู้สึกลังเลใจเล็กน้อย แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าฝ่ายตรงข้ามสามารถสังหารผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎเทพขั้น 8 ภายในกระบวนท่าเดียว หากฝ่ายตรงข้ามประสงค์ร้ายต่อตนเองจริง ๆ ละก็ นางจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหลบหนีได้ด้วยซ้ำ
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ช่าจื่อเยียนจึงรีบตามไป เพราะนางทราบอยู่ว่าเมื่ออาศัยความสามารถของตัวเอง ตนไม่มีทางหลุดพ้นจากการไล่ล่าของตระกูลจ้าวได้แน่นอน แค่พบเจอมกุฎเทพขั้น 8 ที่ไม่ใช่คนในตระกูลจ้าวเพียงคนเดียวก็เกือบถูกจับกุมแล้ว หากพบเจอยอดฝีมือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า บางทีนางก็อาจจะไม่ได้โชคดีอย่างวันนี้อีก
บินตามหลังสตรีกระโปรงเขียวอยู่ไม่นานนัก จู่ ๆ สตรีกระโปรงเขียวก็บินลงไปตรงตีนเขาที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ง้างมือขึ้นมาปล่อยตราประทับออกไป จู่ ๆ พงหญ้าแถบหนึ่งก็เปลี่ยนแปลงไป แล้วเผยให้เห็นค่ายกลที่มีรังสีเป็นประกายระยิบระยับ
นางมองช่าจื่อเยียนที่ตามตัวเองมารอบหนึ่งพลางพูด: “นี่คือค่ายวาร์ปหนึ่ง ซึ่งสามารถไปถึงสถานที่ที่ปลอดภัย ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ทุกคนในโลกะดาราอัมพรเทวล้วนสามารถทำร้ายท่านได้ ทว่าคนคนนั้นไม่มีทางใช่ข้าแน่นอน”
สตรีกระโปรงเขียวยังคงไม่ได้อธิบายอะไรมาก ก้าวเท้าเดินเข้าไปในค่ายกล ถัดจากนั้นรัศมีก็กระพริบระยิบระยับ แล้วนางก็หายตัวไป
ช่าจื่อเยียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน เสี้ยววินาทีที่นางถูกส่งออกไป ค่ายวาร์ปนี้ก็พังทลายลงไปเอง ในขณะเดียวกันร่องรอยทุกอย่างก็ถูกขจัดทิ้งด้วย
ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะที่เกิดจากการถูกส่งข้ามมิติส่งตรงมา ถัดจากนั้นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าของช่าจื่อเยียนก็ฟื้นฟูกลับมาปกติเหมือนเดิม นางพบว่าตนถูกส่งมายังสถานที่ที่แปลกตา จึงเริ่มกวาดตาสำรวจสภาพแวดล้อมที่อยู่บริเวณรอบ ๆ โดยสัญชาตญาณ
นี่คือหุบเขาแห่งหนึ่ง บริเวณรอบหุบเขามีหมอกสีขาวตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ ทิวทัศน์งดงาม เหมือนดั่งแดนสุขาวดีที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
ในขณะเดียวกัน ช่าจื่อเยียนก็มองเห็นบ้านไม้หลังหนึ่ง และมองเห็นสตรีกระโปรงเขียวที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้ผลักประตูไม้แล้วเดินเข้าไปด้านในพอดี
ช่าจื่อเยียนก็เดินตามไปเช่นกัน หลังจากนางเข้าไปในบ้านไม้ พบว่าการตกแต่งภายในเรียบง่ายมาก ๆ มีกระถางธูปหนึ่งใบ เบาะนั่งทรงกลมหนึ่งใบ และไม่มีอะไรอีกเลย
“ที่นี่คือที่ใดหรือ?”ช่าจื่อเยียนถามอย่างรู้สึกสงสัย สิ่งที่นางรู้สึกสงสัยมากกว่าคือตัวตนและความเป็นมาของสตรีนางนี้ นางอยากทราบว่าเหตุใดฝ่ายตรงข้ามถึงต้องช่วยตน
ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะดูไร้ความประสงค์ร้ายก็ตาม แต่ช่าจื่อเยียนก็ไม่ได้ลดความระมัดระวังในใจลงไปอยู่ดี
สตรีกระโปรงเขียวยกมือโบกทีหนึ่ง ภายในบ้านหลังคาไม้ก็มีเบาะนั่งทรงกลมปรากฏอีกหนึ่งใบ นางนั่งลงในท่าขัดสมาธิ จากนั้นก็บอกใบ้ให้ช่าจื่อเยียนนั่งลง
หลังจากช่าจื่อเยียนนั่งลงฝั่งตรงข้ามตนเองแล้ว สตรีกระโปรงเขียวก็ค่อย ๆ พูด: “ข้ารู้ว่าท่านมีคำถามมากมาย หากท่านอยากถามอะไรละก็ ถามตอนนี้ได้เลย”
“ที่นี่คือที่ใดหรือ?”ช่าจื่อเยียนทวนคำถามของตัวเอง
“สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ฝึกตนในอดีตของข้า ที่นี่ปลอดภัยมาก ท่านไม่ต้องเป็นห่วงว่าตระกูลจ้าวจะตามมาถึงที่นี่”เหมือนอย่างที่สตรีกระโปรงเขียวกล่าวมา ช่าจื่อเยียนถามอะไร นางก็ตอบกลับตามนั้น