มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2473
ตำนานที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์ฎีกาหนังสือนั้นมีหลายตำนานมาก ซึ่งมีวิธีพูดอย่างหนึ่งที่เคยได้รับการยอมรับจากจอมยุทธ์จำนวนมาก มีคนสันนิษฐานว่าหากสามารถฝึกวิชาที่กำเนิดมาพร้อมกับคัมภีร์ฎีกาหนังสือให้ถึงแดนบรรลุผล ก็จะสามารถตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุดของดาราจักรวาล
และมีตำนานเล่าว่าสวรรค์ในยุคไท่ชู ก็ฝึกวิชาหนังสือยุทธภัณฑ์นี่แหละ ใช้พลังร่างเนื้อที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองควบคุมระบบระเบียบของจักรวาลฟ้าดินอย่างเผด็จการ จนกลายเป็นจ้าวแห่งจักรวาลฟ้าดิน แล้วแต่งตั้งตัวเองเป็นสวรรค์!
ในส่วนของยุควัฏสงสารนั้น ก็มีคนคาดเดาเช่นกันว่าสิ่งที่จ้าววัฏสงสารฝึกคือคัมภีร์โอสถ ฝึกวิถีกลั่นวิญญาณให้ถึงจุดสูงสุด แล้วยึดกุมวัฏสงสาร มีพลานุภาพสูงสุดที่ไม่ด้อยกว่าสวรรค์ไท่ชู
“อาวุธสงครามจ้าวมหาเทพขั้นสุดยอด หอกปรปักษ์สวรรค์สังหารมาร ราคาขั้นต่ำคือแก้วเทวชั้นยอดหนึ่งล้านชิ้น ทุกครั้งที่ประมูลราคาต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน!”
ในขณะที่หลัวซิวกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น การประมูลหอกปรปักษ์สวรรค์สังหารมารก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ราคาเพิ่มขึ้นถึงสี่ล้านอย่างรวดเร็ว นี่เป็นทรัพย์สินที่ผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวมหาเทพจำนวนไม่น้อยต่างควักออกมาไม่ได้แล้ว
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าผู้ที่สามารถควักทรัพย์สินที่น่าทึ่งเช่นนี้ออกมาได้นั้น ต้องเป็นกองกำลังใหญ่ที่มีการถ่ายทอดสืบสานมานานนับสิบล้านปีอย่างแน่นอน
อาวุธสงครามจ้าวมหาเทพขั้นสุดยอดชิ้นหนึ่ง มูลค่าต้องไม่ต่ำกว่าการตระหนักรู้ในกฎระดับจ้าวมหาเทพในก่อนหน้านี้แน่นอน เพราะฉะนั้นทุกคนจึงล้วนเข้าใจดีมาก ๆ ว่าราคาสี่ล้านเป็นแค่ราคาอุ่นเครื่องเท่านั้น
“เจ้าสำนักน้อยอย่างข้าขอเสนอแก้วเทวชั้นยอดหกล้านชิ้น!”เสียงที่ดังและค่อนข้างหยิ่งยโสเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในงาน ภายในเวลาชั่วขณะ คนจำนวนไม่น้อยล้วนนิ่งเงียบไปเลย
มาตรแม้นว่าเป็นตระกูลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งโลกะดาราอัมพรเทวอย่างตระกูลจ้าวก็นิ่งเงียบลงไปเช่นกัน ราวกับเกรงกลัวเจ้าของเสียงดังกล่าวเล็กน้อยยังไงอย่างนั้น
ในส่วนของผู้ที่ไม่ทราบความเป็นมาของ‘เจ้าสำนักน้อย’ท่านนี้ ก็รู้อยู่ว่าในเมื่อคนเขากล้าจองหองเช่นนี้ อีกทั้งทำให้บรรพอาจารย์ระดับกึ่งจ้าวมหาเทพจำนวนไม่น้อยยังเงียบกริบได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความเป็นมายิ่งใหญ่แน่นอน
สีหน้าของซ่งเฉิงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก อาวุธสงครามจ้าวมหาเทพขั้นสุดยอดชิ้นหนึ่ง อย่างน้อยก็สามารถขายได้ในราคาแก้วเทวชั้นยอดสิบล้านชิ้น ทว่าเมื่ออยู่ในงานกลับขายได้เพียงหกล้าน ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็ไม่มีทางดีใจหรอก
แต่เขาก็ทราบเช่นกันว่าต่อให้เป็นเจ้าเมืองมังกรครามยักษ์ ก็ไม่อยากรุกรานผู้ที่อยู่ภายในห้องที่นั่งพิเศษนั่นง่าย ๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มพลางพูดเสียงดัง: “ราคาได้ประมูลถึงหกล้านแล้ว ยังมีราคาที่สูงกว่านี้อีกหรือไม่? หาก……”
“ยังจะหกจะหากอะไรอีก? ให้ไวหน่อย เจ้าสำนักน้อยอย่างข้าเบื่อที่จะพูดจาไร้สาระ!”ภายในห้องที่นั่งพิเศษทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เสียงที่จองหองพองขนนั่นดังขึ้นมาอีกครั้ง ไม่นึกเลยว่าเขาจะไม่เกรงกลัวการรุกรานเมืองมังกรครามยักษ์เลยแม้แต่น้อย
“เจ็ดล้าน!”
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงดังกล่าวไม่ดัง แต่ทุกคนที่อยู่ในงานล้วนเป็นยอดฝีมือระดับมกุฎเทพเป็นต้นไป จึงได้ยินอย่างชัดแจ๋วเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
การเพิ่มราคาครั้งละหนึ่งล้านไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร สิ่งที่ทำให้ผู้คนล้วนตะลึงงันคือฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ที่แม้แต่บรรพอาจารย์กึ่งจ้าวมหาเทพยังไม่ยอมรุกรานง่าย ๆ เวลานี้ผู้ใดบังอาจออกมาหักหน้าเขา?
ภายในเวลาเสี้ยววินาที ตัวสำนึกและสายตาทั้งหลายก็ล้วนผนึกรวมมาทางหลัวซิว และเขาก็เป็นผู้ที่เสนอราคาในเมื่อครู่นี้อยู่แล้ว
มีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับหนังสือยุทธภัณฑ์ หอกปรปักษ์สวรรค์สังหารมารเล่มนี้ถูกเขามองเป็นสมบัติในกระเป๋าแล้ว จึงไม่มีทางอนุญาตให้ผู้อื่นแย่งไป
“เขาเองหรือ!?”
เมื่อบรรพอาจารย์คนหนึ่งจากสำนักกระบี่ฟ้ามกุฎแห่งโลกะดาราอัมพรเทวมองเห็นหลัวซิว จึงจำหลัวซิวได้ในทันที เขาไม่มีวันลืมเลยว่าเมื่อปีนั้นคนดังกล่าวเป็นผู้ล้มล้างตระกูลจู้ด้วยน้ำมือตนเอง!
ในขณะเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งจากสำนักไท่ฉือ สำนักกว่างหาน ตระกูลจ้าว ตระกูลหวู ตระกูลโปและตระกูลไป๋ก็ล้วนจำเขาได้แล้ว
“เขากลับมาอีกแล้วหรือ?”เมี่ยวหลุนมาร่วมงานประมูลพร้อมกับบรรพอาจารย์ในสำนักไท่ฉือ ขณะที่เห็นหลัวซิวนางก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน นางทราบอยู่ว่าเมื่อปีนั้นหลัวซิวออกจากโลกะดาราอัมพรเทวแล้วมุ่งหน้าไปโลกาชั้นฟ้า เหตุใดเขาจึงกลับลงมาในโลกามนุษย์อีก?