มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2486
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
มกุฎเทพตระกูลจ้าวทั้งสองคนที่ปล่อยตัวต้องห้ามลงไปในร่างฉียู่หรงและช่าจื่อเยียนในเมื่อครู่นี้ พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ตอบสนอง ก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งกดอัดจนกลายเป็นฝุ่นผง ตายจนไม่เหลือซาก
“ขอโทษที ข้ามาสายไป”
น้ำเสียงอันอ่อนโยนที่มีความรู้สึกเสียใจปนอยู่ดังขึ้น เมื่อฉียู่หรงและช่าจื่อเยียนเงยหน้าขึ้นมามอง ก็มองเห็นใบหน้าที่เหมือนดั่งคมดาบนั่นของหลัวซิว
“ท่านชาย……”
“หลัวซิว……”
เมื่อฉียู่หรงมองเห็นหลัวซิว ก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอันเรียวบางที่ขาวซีด เมื่อปีนั้นนางเลือกตระกูล เลือกที่จะลืมเลือนซึ่งกันและกันอยู่ในยุทธจักร ทว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดนางก็ได้พบเงาร่างที่ตนเฝ้ารำพึงหาทุกวันอีกครั้ง
สภาพจิตใจของช่าจื่อเยียนก็ซับซ้อนเล็กน้อยเช่นกัน เดิมทีนางคิดว่าไม่รอดแล้ว และรู้สึกสิ้นหวังโดยสิ้นเชิงแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะปรากฏข้างกายนางด้วยท่าทีที่ปานผู้ช่วยโลกอีกครั้ง
สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสำนักเทียนช่านั้น นางไม่ถือโทษหลัวซิวตั้งนานแล้ว แต่เขากลับรู้สึกผิดมาโดยตลอด ทว่าในความเป็นจริงเขาทำเพื่อตัวเองและเสี่ยวเจียงหมิงเยอะมาก ๆ ในทางตรงกันข้ามนางกลับเป็นฝ่ายที่ติดค้างหลัวซิวมากกว่า
“เจ้าเองหรือ!?”
เสี้ยววินาทีที่บรรพอาจารย์ทั้งสองคนจากตระกูลจ้าวเห็นหลัวซิว ก็ต้องจำเขาได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นอยู่แล้ว จุดจบของตระกูลจู้และสำนักกระบี่ฟ้ามกุฎเมื่อปีนั้น กระทั่งบัดนี้มันก็ยังตราดตรึงอยู่ในใจผู้คน!
“ตระกูลจ้าวช่างสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก ดูท่าที่กูล้มล้างสำนักกระบี่ฟ้ามกุฎเมื่อปีนั้นมันยังไม่น่าเกรงขามมากพอสินะ ถึงขั้นกล้าแตะต้องคนของกู?”สีหน้าของหลัวซิวเย็นยะเยือก
“หลัวซิว เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ศิษย์ตระกูลจ้าวของข้าถูกผู้อื่นฆ่า เรามีเหตุผลในการมาล้างแค้น แล้วมันมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า?”
ผู้อาวุโสที่ผมเผ้าขาวหงอกคนหนึ่งพูดกระแทกเสียงต่ำ ตระกูลจ้าวมีบรรพอาจารย์สามคน คนดังกล่าวถูกจัดอยู่ในอันดับสอง มีนามว่าจ้าวฉีเชิง ส่วนบรรพอาจารย์อีกคนหนึ่งที่มาพร้อมกับเขานั้น คือบรรพอาจารย์สามแห่งตระกูลจ้าว จ้าวฉีหยุน
ในส่วนของบรรพอาจารย์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลจ้าวจ้าวฉีเทียนนั้น ได้ไปเข้าร่วมงานประมูลที่เมืองมังกรครามยักษ์เมื่อไม่นานมานี้
สำหรับคำพูดของจ้าวฉีเชิงนั้น หลัวซิวมองว่าเขาพูดจาไร้สาระโดยสิ้นเชิง เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าฉียู่หรงและช่าจื่อเยียนต่างได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งภายในร่างกายยังมีตัวต้องห้ามด้วย สีหน้าของเขาจึงเย็นเยือกมากยิ่งขึ้น จิตสังหารบนตัวเย็นยะเยือก
หลัวซิวพลิกมือหยิบยาเซียนรักษาตัวออกมาสองเม็ด แล้วเอาให้สตรีทั้งสองนางกิน ในส่วนของตัวต้องห้ามที่ถูกปล่อยเข้าไปในร่างกายของพวกนางนั้น ยิ่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลัวซิว โบกมือทีเดียวก็ขจัดทิ้งอย่างราบคาบแล้ว
ในขณะเดียวกัน เขาก็มองเห็นบรรพอาจารย์ตระกูลฉี ก่อนจะดีดนิ้วทีหนึ่ง ยาเซียนหนึ่งเม็ดจึงบินตรงไปทางบรรพอาจารย์ตระกูลฉี
“ขอบพระคุณท่านชายอย่างยิ่ง!”บรรพอาจารย์ตระกูลฉีรีบยื่นมือออกไปรับ แล้วกินยาเซียนลงไปโดยที่ไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามีฤทธิ์ยาที่มากมายมหาศาลแพร่กระจายอยู่ในร่างกายกะทันหัน บาดแผลที่ได้รับในเมื่อครู่นี้ยิ่งฟื้นฟูกลับคืนมาด้วยความเร็วที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจ ก็ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว
นี่จึงทำให้บรรพอาจารย์ตระกูลฉีรู้สึกแปลกใจอย่างไร้เหตุผล เขาสามารถยืนยันได้เลยว่ายาเซียนที่หลัวซิวให้เขานั้น ไม่ใช่ยารักษาตัวธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน มาตรแม้นว่าเป็นยาเซียนรักษาตัวระดับเจ้ายุทธจักร ก็ไม่มีประสิทธิผลที่ดีเลิศเช่นนี้
เขาจำได้ชัดเจนมาก ๆ ว่าครั้นเมื่อหลัวซิวพาฉียู่หรงกลับตระกูลฉี เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่มีทางใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิวแน่นอน นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ฉียู่หรงฝึกตนถึงแดนมกุฎเทพขั้น 9 เขาเชื่อว่าศักยภาพของหลัวซิวต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นแน่นอน
แต่เขาก็ทราบเช่นกันว่าหากหลัวซิวบรรลุถึงแดนจ้าวมหาเทพแล้ว เขาไม่มีทางลงมาในห้วงดาราระดับล่างได้ เพราะฉะนั้นนี่ก็หมายความว่าหลัวซิวในปัจจุบันยังไม่ใช่จ้าวมหาเทพ