มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2499
ถึงแม้จะสูญเสียผลการฝึกตนเยอะมาก แต่พลังอมตะอย่างเพลาไหลรวยก็แข็งแกร่งมาก ๆ เนื่องจากข้อจำกัดของกฎเทียนเต้า ทำให้เขาไม่สามารถรวมร่างกับอสูรดูดจิตในห้วงดาราระดับล่างได้ และไม่สามารถเรียกหุ่นเชิดยักษ์ออกมาเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องพึ่งพาศักยภาพของตัวเอง
แต่ทว่าหลัวซิวไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจไร้เทียมทานเพียงเพราะสังหารชายผมแดงได้ จักรพรรดิเทพขั้นปฐมภูมิคนหนึ่งที่อยู่ในมหาโลกาพันสามยังไม่ถือเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดเลย เมื่อมองในมุมโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด นั่นก็ยิ่งเป็นบุคคลเล็ก ๆ ที่ไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง
แต่การปรากฏของชายผมแดงกลับเป็นการเตือนหลัวซิว เขารู้สึกว่าเกาะเทียนเหอไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาจินตนาการแน่นอน
อดีตเขานึกว่าบางทีเกาะเทียนเหออาจจะแค่โชคดีได้รับพลังแห่งสวรรค์เท่านั้นแหละ ถึงสามารถเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสิบกว่าปี แล้วกลายเป็นมหาอำนาจในห้วงดาราระดับล่าง
แต่การปรากฏตัวชายผมแดงทำให้หลัวซิวมีการคาดคะเนใหม่ น่าจะมีกองกำลังคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเกาะเทียนเหออย่างลับ ๆ อีกทั้งกองกำลังดังกล่าวมีโอกาสมาจากโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดสูงมาก
หลัวซิวเจอแผ่นกระดูกสีขาวหยกชิ้นหนึ่งในแหวนเก็บของของชายผมแดง ตัวแผ่นกระดูกมีขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ ใสแจ๋ว เต็มเปี่ยมไปด้วยแสงวิเศษ ด้านบนมีตัวอักษรที่เหมือนดั่งอักษรผีวาดสลักอยู่
ตัวอักษรประเภทนี้เก่าแก่อย่างมาก ยิ่งกว่านั้นคือมันเก่าแก่ยิ่งกว่าตัวหนังสือโบราณในยุคไท่ชูเสียอีก และสิ่งที่บันทึกอยู่ด้านบนก็คือเศษหนังสือยุทธภัณฑ์นั่นเอง!
จากจุดนี้สามารถเห็นได้ว่า หลังจากจ้าวเกาะเทียนเหอทำการกวาดล้างเมืองมังกรครามยักษ์ด้วยมือตนเองแล้ว เขาน่าจะแก่งแย่งแผ่นกระดูกที่มีเศษหนังสือยุทธภัณฑ์บันทึกนี่ไปเวลานั้น ต่อมามันก็ตกอยู่ในกำมือชายผมแดง
ถึงแม้จะเป็นฉบับที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของหลัวซิวฮึกเหิมขึ้นมาได้แล้ว ด้านบนมีความล้ำลึกต่าง ๆ ของวิชาหลอมอาวุธและวิชากลั่นร่างบันทึกอยู่
ในคัมภีร์ฎีกาหนังสือมีความล้ำลึกที่นับไม่ถ้วน เมื่อบุคคลที่แตกต่างกันมาตระหนักรู้ สิ่งที่ตระหนักรู้ได้นั้นก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่นคำภีร์โอสถ จีเสวียนคงได้รับคัมภีร์โอสถมาเป็นร้อยปี แต่ก็ไม่สามารถตระหนักรู้ความล้ำลึกที่แท้จริงของคัมภีร์โอสถได้ตลอดมา แค่ได้รับการชี้แนะบางอย่างจากคัมภีร์โอสถ แล้วตระหนักวิชากลั่นยาที่ปราดเปรื่องอย่างยิ่งออกมาได้
และจีเสวียนคงก็อาศัยสิ่งนี้กลายเป็นมหาปรมาจารย์ยาเซียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
แต่สิ่งที่จีเสวียนคงตระหนักรู้ได้จากคัมภีร์โอสถกลับเป็นเพียงความรู้ผิวเผิน เขาไม่ค้นพบเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในคัมภีร์โอสถ และตระหนักรู้ไม่ได้เช่นกัน
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น วิชากลั่นยาที่หลัวซิวตระหนักรู้ได้จากคัมภีร์โอสถ ปราดเปรื่องกว่าสิ่งที่จีเสวียนคงตระหนักรู้ได้เสียอีก
ตรงขอบแผ่นกระดูกขาวหยกมีร่องรอยการแตกร้าว วิชาหนังสือยุทธภัณฑ์ที่อยู่ด้านบนไม่สมบูรณ์แบบแต่อย่างใด แต่ก็สามารถทำให้เขาได้รับดอกผลที่ไม่น้อยแล้ว
แก่นสารของคัมภีร์โอสถคือกลั่นยาดั่งกลั่นวิญญาณ ส่วนแก่นสารของหนังสือยุทธภัณฑ์คือกลั่นอาวุธดั่งกลั่นร่าง
และหลัวซิวก็ตระหนักวิชาก่อเกิดกายได้จากแผ่นกระดูกที่เป็นเศษหนังสือยุทธภัณฑ์วิชาหนึ่ง!
นอกเหนือจากนี้แล้วแผ่นกระดูกที่มีการบันทึกเศษหนังสือยุทธภัณฑ์ก็แข็งแรงอย่างยิ่ง แม้แต่กระบี่ร่องฟ้ายังไม่สามารถทิ้งร่องรอยไว้บนแผ่นกระดูกได้เลย นี่จึงทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจและตะลึงมาก
เขาสันนิษฐานว่ากระดูกแผ่นนี้ มีโอกาสเป็นต้นฉบับของหนังสือยุทธภัณฑ์สูงมาก!
แท้จริงแล้วคัมภีร์โอสถ หนังสือยุทธภัณฑ์และฎีกาค่ายต่างมีต้นฉบับอยู่ แต่ทว่าต้นฉบับได้ขาดการสืบทอดตั้งนานแล้ว สิ่งที่ตกทอดมาในรุ่นหลัง ก็เป็นเนื้อหาที่ผู้แข็งแกร่งในแต่ละยุคประทับบันทึกโดยอ้างอิงจากต้นฉบับ
ต้นฉบับเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด อันที่จริงสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งประทับทำสำเนานั้น ไม่ได้มีความล้ำลึกของต้นฉบับแฝงซ่อนอยู่แต่อย่างใด
แม้แต่ในยุคสมัยที่ไท่ซ่างฉิงคงอยู่ ก็ไม่เคยเห็นต้นฉบับของคัมภีร์ฎีกาหนังสือใด ๆ มาก่อนเลย เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงรู้อยู่ว่าคัมภีร์โอสถและฎีกาค่ายที่เขาได้รับนั้นไม่ใช่ต้นฉบับ และเขาก็ไม่เคยเพ้อฝันเช่นกันว่าตัวเองจะได้รับต้นฉบับ