มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2523
หลัวซิวรู้อยู่ว่าความคิดนี้ของตัวเองมันบ้าคลั่งไปหน่อย อย่างไรเสียกาลเวลาในช่วงนั้นมันก็ยาวนานมากเกินไปแล้ว ถึงแม้เขาจะมีความสามารถในย้อนเวลา แต่การที่สามารถสืบสาวกลับไปถึงเมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้นก็ถือเป็นขีดจำกัดแล้ว การที่จะหวนย้อนกลับไปไม่รู้ตั้งกี่ยุคตรีภพนั้น อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่ฝึกเกณฑ์เวลาถึงเทพมารระดับเก้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน
โลหิตแห่งชิงเทียนคือหินหยกกายสิทธิ์อย่างไร้ข้อสงสัย ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าซูอี้เฉินได้รับข่าวคราวนี้มาจากที่ใด ผู้แข็งแกร่งอย่างชิงเทียนนั้น ถึงแม้จะเป็นเลือดธรรมดา ๆ หนึ่งหยดบนตัว แต่ก็มีพลังและความล้ำลึกที่ไม่อาจจินตนาการได้แฝงซ่อนอยู่เช่นกัน
และวิชาก่อเกิดกายที่ตระหนักรู้ได้จากเศษหนังสือยุทธภัณฑ์ ก็ต้องการสมบัติประเภทนี้มาทำให้พลังร่างเนื้อแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน หากสามารถครอบครองมัน หลัวซิวมั่นใจว่าตัวเองสามารถพัฒนาขึ้นอีกขั้นได้ ฝึกร่างยุทธ์จักรพรรดิเทพให้สำเร็จ หรือร่างยุทธ์เทพมารระดับห้านั่นเอง!
“หลัวซิว?”
และในเวลานี้เอง ก็มีแสงกลดวงหนึ่งบินตรงมา ภายในเวลาชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น แสงดังกล่าวก็ปรากฏตรงหน้าหลัวซิว ก่อนที่มันจะกลายเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหล่อเหลาคนหนึ่ง
หลัวซิวหันหน้ากลับไปมอง สายตาร่วงลงบนตัวชายหนุ่มคนนั้น คนดังกล่าวมีนามว่าเซียวจื้อหยวนซึ่งเป็นผู้สืบทอดของตำหนักเสินหยูแห่งโลกาวิหารเทว
แตกต่างจากพระโอรสจ้านเทียน มู่จื่อเซียวและฟางห้าวหยู ชื่อเสียงของเซียวจื้อหยวนไม่โด่งดังตลอดมา ถูกตำหนักเสินหยูบ่มเพาะมาอย่างลับ ๆ ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์สติปัญญา หรือผลการฝึกตนศักยภาพ ล้วนไม่ด้อยกว่าพวกพระโอรสจ้านเทียนเลย
เซียวจื้อหยวนก็ทราบเช่นกันว่าสาเหตุที่ตำหนักเสินหยูไม่ให้เขาปรากฏตัวในวงสังคมนั้น ทำเพื่อเป็นการปกป้องเขา ถึงแม้จะออกไปสั่งสมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านนอกก็ล้วนปิดบังตัวตนตลอดมา ไม่ให้ผู้อื่นทราบ
ปัจจุบันสาเหตุที่เปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชนนั้น ก็เป็นเพราะเขาบรรลุถึงแดนจ้าวมหาเทพแล้ว มีต้นทุนในการตั้งหลักตั้งตัวอยู่ในห้วงดาราแห่งนี้ อนาคตหากอยากบรรลุเป็นจักรพรรดิเทพตลอดจนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ก็จำเป็นต้องประสบการขัดเกลาและการเจริญเติบโตที่นับไม่ถ้วน หากอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตำหนักเสินหยูตลอดไป เขาก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ
ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เซียวจื้อหยวนรู้สึกไม่พอใจมาก ๆ เมื่อได้ยินชื่อเสียงของพระโอรสจ้านเทียนและชื่อเสียงของมู่จื่อเซียว ต่อมาเมื่อได้ยินผู้อื่นบอกว่ามีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา เขาจึงยิ่งยืนยันแล้วว่าตนต้องโค่นล้มคนคนนั้นให้ได้ แล้วกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง บุตรผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่คนนับหมื่นโลกาจับจ้อง!
และคนดังกล่าวก็ต้องเป็นหลัวซิวอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ครั้นเมื่ออยู่ในโลกาเสวียนหมิง เขาเห็นหลัวซิวสังหารจักรพรรดิเทพคนหนึ่งด้วยสายตาตนเอง ทว่าเซียวจื้อหยวนก็ยังคงไม่เกรงกลัวอีกเช่นเคย เนื่องจากเขาคิดว่าหลัวซิวต้องใช้อุบายบางอย่างที่แข็งแกร่งมาก ๆ แน่นอน ถึงสามารถทำถึงขั้นนั้นได้ ซึ่งมันไม่ใช่ศักยภาพที่แท้จริงของหลัวซิว ถ้าเกิดเขายอมใช้ท่าไม้ตายโดยที่ไม่สนใจว่าต้องแลกกับอะไรละก็ เขาก็สามารถสังหารจักรพรรดิเทพทั่วไปได้เช่นกัน!
แต่ทว่าสิ่งที่เซียวจื้อหยวนไม่ทราบคือซูอี้เฉินไม่ใช่จักรพรรดิเทพทั่วไปเชียวนะ ยิ่งกว่านั้นคือเขาแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเทพจำนวนมากในมหาโลกาพันสามซะอีก
หลัวซิวมองเห็นปณิธานรบและเจตนาร้ายที่ลึกซึ้งได้จากสายตาของเซียวจื้อหยวนแค่นึกคิดเพียงครู่เดียว เขาก็เข้าใจความตั้งใจของเซียวจื้อหยวนแล้ว เซียวจื้อหยวนอยากโค่นล้มเขาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ ในทางตรงกันข้ามเขากลับดูหมิ่นเซียวจื้อหยวนเสียอีก ถ้าเกิดคนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่เพราะชื่อเสียงอันจอมปลอม ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเพียงของจอมปลอม คนฉลาดที่แท้จริงเขาไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนี้เลยด้วยซ้ำ อัจฉริยะและผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจะแอบสะสมศักยภาพอยู่อย่างเงียบ ๆ ดาบอยู่ในฝัก พอชักออกมาก็ตะลึง!
สำหรับเซียวจื้อหยวนแล้ว การเอาชนะหลัวซิวก็คือจังหวะและโอกาสที่จะทำให้เขาโดดเด่นในสายตาของผู้คน แต่ว่าเขาเลือกจังหวะและโอกาสผิด และเลือกคนผิดเช่นกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ใช่คนฉลาด ในสายตาของหลัวซิว หากเขากล้าท้าประลองตนเอง เช่นนั้นเขาก็คือคนโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างสมบูรณ์แบบแล้วล่ะ
เมื่อเห็นว่าหลัวซิวแค่กวาดตามองตัวเองเพียงรอบเดียวแล้วหันหลังให้ตัวเอง เซียวจื้อหยวนก็กำหมัดแน่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขารู้สึกว่าตัวเองถูกเหยียดหยาม กิริยาท่าทางเช่นนี้ของฝ่ายตรงข้ามเป็นการดูหมิ่นและเหยียดหยามเขา!