มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2524
วรยุทธ์กำลังโคจรอยู่ในร่างกาย พลังออร่าของเซียวจื้อหยวนกำลังสะสมและค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามจังหวะ เขากำลังรวบรวมพลัง เมื่อรวบรวมพลังถึงขีดสูงสุดแล้ว เขาก็จะสามารถปลดปล่อยศักยภาพที่ทรงพลังที่สุดออกมาโค่นล้มเขา และพิสูจน์ว่าตัวเองถึงจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่คนนับหมื่นโลกาจับจ้องต่างหาก!
เมื่อเซียวจื้อหยวนสะสมรวบรวมพลังออร่าถึงขีดสูงสุด เขาก็ลงมือโจมตีภายในพริบตา ทันทีที่ลงมือก็ใช้พลังอมตะที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด มีดาราที่นับไม่ถ้วนปรากฏกลางฝ่ามือ และวิวัฒนาการห้วงดาราหนึ่งออกมา
อย่างไรก็ตาม หลัวซิวยังคงหันหลังให้เขาอยู่เช่นเคย ราวกับไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีคนจะลงมือจัดการตัวเอง
เวิ่ง!
ทันใดนั้นเอง ก็มีระลอกคลื่นลูกหนึ่งกระเพื่อมออกไป เงาร่างที่งดงามร่างหนึ่งปรากฏกลางอากาศ มือที่ขาวดุจหยกถือกระบี่ แสงกระบี่สีเทาดวงหนึ่งเหมือนดั่งน้ำตก เฉือนสับจากด้านบนลงไปด้านล่าง
ห้วงดารายุทธ์ที่เซียวจื้อหยวนวิวัฒนาการออกมาโดยพลังอมตะถูกแสงกระบี่ฉีกกระชากภายในพริบตา อนัตตาที่กว้างใหญ่ถูกทำลายล้างพังทลาย เซียวจื้อหยวนถอยหลังกลับไปรัว ๆ ด้วยใบหน้าที่ขาวซีด เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากนิ้วมือทั้งห้า
เขาแหงนหน้ามองขึ้นไปกะทันหัน หลัวซิวยังคงหันหลังให้ตัวเองอยู่เช่นเคย ส่วนด้านหลังของหลัวซิวนั้น เสิ่นปิงหยูกำลังใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่แล้วมองมาทางตัวเองด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“เสิ่นปิงหยู? เจ้าอยากหยุดยั้งข้าหรือ?”แววตาของเซียวจื้อหยวนเป็นประกาย พลางซักถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียนอย่างเยือกเย็น
เขาสังเกตเห็นกระบี่เทพเล่มนั้นที่อยู่ในมือเสิ่นปิงหยู เขาเคยได้ยินมาก่อนว่ากระบี่เล่มนั้นคือหนึ่งในสิ่งล้ำค่าที่อยู่ในแดนเทวนิรันกาล กระบี่ตรีภพ!
แม้นอดีตเสิ่นปิงหยูก็เป็นผู้สมัครเทพธิดาของวังเซียนมหาวาลที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศเช่นกัน แต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พรสวรรค์สติปัญญาของนางกลับอ่อนกว่าพวกพระโอรสจ้านเทียน มู่จื่อเซียวและฟางห้าวหยูไม่น้อยเลย
ทว่าตั้งแต่ได้รับกระบี่ตรีภพจากแดนเทวนิรันกาลเป็นต้นมา อีกทั้งหลังจากหลัวซิวถ่ายทอดวิชาฝึกตนอย่างร่างเทวอลวนให้นางแล้ว ชื่อเสียงของเสิ่นปิงหยูก็โด่งดังขึ้นมา เบียดตัวเข้าไปในขบวนอัจฉริยะขั้นสุดยอด กลายเป็นเทพธิดาของวังเซียนมหาวาล เป็นสตรีผู้ภาคของสวรรค์ที่คนนับหมื่นโลกาต่างจับจ้อง!
“หยุดยั้งเจ้า?”เสิ่นปิงหยูหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ข้ากำลังช่วยเจ้าต่างหาก!”
ความสัมพันธ์ระหว่างวังเซียนมหาวาลและตำหนักเสินหยูถือว่าไม่เลวเลย ถ้าเกิดไม่ใช่คำนึงถึงความสัมพันธ์ไมตรีจิตขั้นนี้ เสิ่นปิงหยูไม่มีทางลงมือให้ความสนใจในเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ในมุมมองของนาง การที่เซียวจื้อหยวนลงมือต่อหลัวซิวนั้น มันเป็นการรนหาที่ตายอยู่ชัด ๆ
ใบหน้าของเซียวจื้อหยวนดูโกรธเกรี้ยว ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้น จู่ ๆ กลับมีเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
“เทพธิดามหาวาลพูดถูก นางกำลังช่วยเจ้าอยู่จริง ๆ เมื่อครู่หากเจ้าลงมือต่อสหายหลัว บัดนี้เซียวจื้อหยวนเจ้าคงได้กลายเป็นศพร่างหนึ่งไปแล้ว”
คนยังมาไม่ถึงแต่เสียงกลับมาถึงก่อน ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีเงาดำร่างหนึ่งเดินตรงมาจากนภาที่อยู่ห่างไกลออกไป มีแสงสีเขียวที่ขมุกขมัวปกคลุมร่างคนดังกล่าว ซึ่งเขาก็คือผู้สืบทอดเขาดึกดำบรรพ์ ฟางห้าวหยูนั่นเอง!
ในขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ก็ต่างพากันมาถึงที่นี่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน ใบหน้าของพระโอรสจ้านเทียนไร้อารมณ์ มู่จื่อเซียวกำลังหลับตาทั้งสองอยู่อย่างนิ่ง ๆ ยังมีอัจฉริยะเผ่ามังกรแห่งโลกาบรรพมาร เอ้าเจียง อัจฉริยะของสำนักจักรพรรดิแสงดาว ข่งเม่า อัจฉริยะของสำนักจักรพรรดิมรณะ โสว่หยิง
หลังจากคนเหล่านี้มาถึงแล้ว ต่างก็สัมผัสได้ถึงพลังเต๋าสองประเภทที่แตกต่างกัน ประเภทหนึ่งคือพลังชีวิตที่ไร้ที่สิ้นสุด ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือการทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
ในกฎจักรวาลฟ้าดินทั้งหลาย เดิมทีการเวียนว่ายตายเกิดก็เป็นกฎขั้นสุดยอดในกฎชั้นยอดอยู่แล้ว ส่วนการเปลี่ยนจากกฎกลายเป็นเกณฑ์นั้น เป็นพลังที่ระดับขั้นเหนือชั้นกว่า ซึ่งการเวียนว่ายตายเกิดก็เป็นพลังธาตุชั้นยอดเช่นกัน
ในสรรพวิชาทั้งหลายในโลกหล้า ล้วนหลุดไม่พ้นจากขอบเขตของการเวียนว่ายตายเกิด และตัวจอมยุทธ์เองก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ในเส้นทางการฝึกยุทธ์นี้ มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยผ่านพ้นการดิ้นรนจากความเป็นความตายมามากจนนับไม่ถ้วน?
เมื่อเห็นว่าทุกคนมาถึงแล้ว เซียวจื้อหยวนจึงทำได้เพียงระงับไฟโกรธและความวู่วามที่อยู่ในใจลงไป เมื่อลองคิดดูดี ๆ เขาก็ทราบเช่นกันว่าเมื่อครู่ตัวเองรีบร้อนที่จะพิสูจน์ตัวเองมากเกินไป จึงลงมือโจมตีหลัวซิวอย่างบุ่มบ่าม ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมโง่เง่าที่ไม่ฉลาดมากจริง ๆ
“ช่างเป็นออร่าพลังเต๋าที่ลึกซึ้งมากยิ่งนัก……”
ฟางห้าวหยูหลับตาลง ถึงแม้สิ่งที่เขาฝึกจะเป็นกฎเวลา และเป็นหนึ่งในกฎชั้นยอดของจักรวาลฟ้าดิน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังเต๋าทั้งสองประเภทที่ตลบฟุ้งอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้แล้ว กฎเวลาของเขากลับเล็กน้อยมากเหมือนดังเศษฝุ่น
คนอื่นที่เหลือต่างก็รวบรวมสมาธิแล้วตระหนักรู้ในออร่าพลังเต๋าที่ตลบฟุ้งอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้เช่นกัน ทุกคนล้วนมีการตระหนักรู้ที่แตกต่างกันออกไป
มีเพียงหลัวซิวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ตระหนักรู้พลังเต๋าของสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากพลังเต๋าทั้งสองประเภทที่ตลบฟุ้งอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นวิถีของชิงเทียนและเทพปีศาจนี่เทียนอีกท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่วิถีของตัวหลัวซิวเอง
การตระหนักรู้ในวิถียุทธ์ของเขาหลุดพ้นจากขอบข่ายของคนธรรมดาทั่วไปตั้งนานแล้ว เนื่องจากเขาได้บุกเบิกวิถีของตัวเองแล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปตระหนักรู้ในวิถีของผู้อื่น
แววตาเขาเพ่งมองตราประทับที่ตรานาบอยู่ในอนัตตามายาวนานอย่างไม่รู้จบนั่น จากนั้นก็มองไปทางหลุมที่อยู่ด้านล่างตราประทับ เขาอยากได้โลหิตแห่งชิงเทียนที่อยู่ก้นหลุมมาก ๆ!