หินอุกกาบาตเคลื่อนผ่านไปมาอยู่ในห้วงดารา ตั้งแต่ที่หลัวซิวฟื้นคืนมาเป็นต้นมา เขาก็เริ่มฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บของตัวเองเลย
อาศัยความสามารถในการฟื้นฟูของกฎชีวิต ถึงแม้พลังชีวิตภายในร่างกายแทบจะแห้งเหือดไปหมดแล้ว แต่ขอแค่มีสมุนไพรเพิ่มพลังที่เพียงพอ ก็ยังคงสามารถฟื้นฟูกลับคืนไปเป็นเหมือนเก่าได้อยู่เช่นเคย
บนดาราเสวียนหมิง เขาใช้ศิลาผนึกปีศาจสังหารร่างเนื้อของซูอี้เฉิน แล้วได้รับแหวนเก็บของของเขามา ภายในแหวนมีโอสถแก่นแท้ระดับห้าจำนวนมาก นอกเหนือจากนี้แล้ว เขาก็ได้รับยาเซียนจากห้วงกาลแดนมาเป็นจำนวนมากเช่นกัน ขอแค่ผลการฝึกตนฟื้นฟูกลับไปเป็นเหมือนเดิมเล็กน้อย ก็สามารถเริ่มกลั่นยาเซียน ทำให้ความเร็วในการฟื้นฟูสภาพอาการบาดเจ็บรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
มีเพียงสภาพอาการบาดเจ็บในตัวหยั่งรู้เท่านั้นที่ค่อนข้างยุ่งยาก โชคดีที่ชี่บรรพไท่ชูนั่นยังเหลืออยู่บ้าง เมื่อใช้ควบคู่กับยาเซียนที่สามารถซ่อมแซมตัวหยั่งรู้ ความเร็วในการฟื้นฟูก็ถือว่าไม่ช้าเลย
หลังจากผ่านไปสองเดือนกว่า สภาพอาการบาดเจ็บของหลัวซิวก็ฟื้นฟูกลับคืนมาในระดับที่แน่นอนแล้ว แม้นยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาวะที่ดีเลิศที่สุด แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาใด ๆ แล้ว ขอแค่ผ่านการขัดเกลาอีกระยะหนึ่ง ก็จะไม่มีภัยร้ายใด ๆ หลงเหลือแฝงซ่อนอยู่ในร่างกาย
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เสิ่นปิงหยูอยู่เคียงข้างหลัวซิวอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด บางครั้งนางยิ่งคิดว่าถ้าเกิดเวลาสามารถเคลื่อนที่ช้าลง เหมือนการได้อยู่เคียงข้างกายเขาอย่างเงียบ ๆ เช่นนี้ มันก็เป็นชีวิตที่เงียบสงบและมีความสุขมาก ๆ เช่นกัน
บัดนี้สภาพอาการบาดเจ็บของหลัวซิวฟื้นฟูกลับคืนมาเป็นเหมือนเก่าแล้ว นางรู้อยู่ว่าชีวิตเช่นนี้ได้จบลงแล้ว แต่นางกลับไม่เคยเปิดเผยความในใจของตัวเองออกมา เนื่องจากนางกลัว กลัวว่าจะถูกปฏิเสธหลังจากตนเปิดเผยความในใจ หากเป็นเช่นนั้นละก็ อนาคตนางก็มิอาจจินตนาการถึงภาพที่จะได้ยืนต่อหน้าเขาด้วยสภาพจิตใจที่ปกติอย่างวินาทีนี้อีกแล้ว
นางเป็นสตรีผู้ภาคภูมิของสวรรค์แห่งวังเซียนมหาวาล ในมหาโลกาพันสามที่กว้างใหญ่ไพศาล สามารถพูดได้เลยว่านางเป็นเทพธิดาที่สามารถทำให้หนุ่มผู้มีความสามารถเป็นเลิศที่นับไม่ถ้วนรายล้อม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวซิวแล้ว นางกลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย นางกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ
“ท่านชาย สภาพอาการบาดเจ็บของท่านฟื้นฟูกลับมาแล้ว เราจะกลับไปหรือไม่เจ้าคะ?”เสิ่นปิงหยูเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา กลับไปที่นางหมายถึงนั้น ต้องหมายถึงกลับมหาโลกาพันสามอยู่แล้ว
“ข้ายังกลับไปไม่ได้ชั่วคราว ข้าต้องเดินทางไปโลกะดาราอัมพรเทวเที่ยวหนึ่ง ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ขอบคุณมากที่เจ้าคอยคุ้มกันข้ามาโดยตลอด หากไม่มีกิจธุระอะไรแล้วละก็ เจ้ากลับไปก่อนเถิด”หลัวซิวตอบกลับเช่นนี้
เมื่อปีนั้นครั้นเมื่อเขาไปโลกาเสวียนหมิง เขาได้ทิ้งช่าจื่อเยียนและเสี่ยวเจียงหมิงไว้ในตระกูลฉี เขาย่อมต้องพาพวกเขากลับยอดอัมพรพร้อมกันอยู่แล้ว
อีกทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกาเสวียนหมิงได้ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว เขาจะได้กลับไปดูด้วยว่าพวกซูอี้เฉินหวนกลับคืนมาอีกหรือไม่
“ข้าไม่มีกิจธุระอะไรเลย เช่นนั้นก็ไปพร้อมกับท่านชายดีกว่าเจ้าค่ะ”เสิ่นปิงหยูยิ้มแป้น สุดท้ายนางก็ตัดใจที่จะบอกลาหลัวซิวบัดนี้ไม่ได้อยู่ดี
ถึงแม้นางก็ทราบอยู่ว่าชั่วชีวิตของผู้แข็งแรงวิถียุทธ์นั้นยาวนาน อนาคตยังอีกยาวไกล แต่นางก็หวังว่าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหลัวซิวได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
……
ไม่ได้รับข่าวคราวของหลัวซิวมาติดต่อกันสองเดือน ช่าจื่อเยียนและฉียู่หรงที่อยู่ในตระกูลฉีก็รู้สึกกังวลใจมากเช่นกัน เมื่อเห็นหลัวซิวกลับมา ในที่สุดสตรีทั้งสองก็สามารถวางใจลงได้สักที
“ท่านชาย ท่านกลับมาแล้วหรือ……”
หน้าประตูจวนตระกูลฉี ในฐานะที่ฉียู่หรงเป็นนายท่านตระกูลฉีได้แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างหรูหรา ดั่งเทพธิดาไร้ที่ติที่เปล่งประกาย เพียงแค่นางยิ้ม แม้แต่ท้องฟ้ายังต้องหม่นหมอง
ถึงแม้ฉียู่หรงจะพูดเพียงประโยคที่ธรรมดามาก ๆ ประโยคเดียว ทว่าเสิ่นปิงหยูที่ยืนอยู่ข้างกายหลัวซิวก็ทราบแล้วว่าสตริงนางนี้ ก็ชอบหลัวซิวเช่นกัน
หลัวซิวอยู่ในสถานการณ์นี้ กลับไม่เข้าใจจิตใจของสตรีเหล่านี้ ทว่าต่างก็เป็นสตรีเช่นกัน เสิ่นปิงหยูจึงย่อมดูออกอยู่แล้ว อีกทั้งสัญชาตญาณของสตรีก็แม่นยำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย
ช่าจื่อเยียนก็เดินออกมาเช่นกัน นางไม่ได้พูดอะไร แค่เห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงและปล่อยวางของช่าจื่อเยียน เสิ่นปิงหยูก็รู้แล้วว่าสตรีนางนี้ก็น่าจะชอบหลัวซิวเช่นกัน