มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2546
ระดับสูงของตระกูลมู่ต้องทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดาราเสวียนหมิงแห่งโลกามนุษย์อยู่แล้ว เมื่อปีนั้นมู่จื่อเซียวก็ได้รับคำสั่งให้ไปตรวจสอบเรื่องราวของเกาะเทียนเหอที่โลกามนุษย์เช่นกัน หลังจากเขากลับมา ก็ย่อมต้องรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้แก่เบื้องบน
สำหรับเรื่องที่หลัวซิวให้ผู้คนเขียนใบแสดงหนี้ตรงทางเข้าแดนปริศนานั้น เขาก็ไม่มีการปิดบังใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
ครั้งนี้หลัวซิวมาตามคิดบัญชีถึงที่ ตัวตนของมู่จื่อเซียวก็เป็นผู้อาวุโสเช่นกัน แต่เขากลับไม่ได้ปรากฏในสำนักอภิปรายรายนี้ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าก็ทราบอยู่เช่นกันว่าตนเสียเปรียบในเรื่องนี้
“น่าขำชะมัด! จื่อเซียวคือเจ้าสำนักน้อยของตระกูลมู่เรา และเป็นนายท่านในอนาคต แล้วจะติดหนี้ผู้น้อยอย่างเจ้าได้อย่างไร?”
มู่กงหมิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ผู้อาวุโสไท่ช่างอีกคนหนึ่งของตระกูลมู่ก็แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางตอบกลับก่อน
ซึ่งคนดังกล่าวก็คือผู้อาวุโสที่ทำหน้าเหยียดหยามขณะที่หลัวซิวเดินเข้ามาในเมื่อครู่นี้นั่นเอง เขามีขนคิ้วสีแดง น้ำเสียงไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย
ภายในตระกูลมู่ก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นกัน นอกเหนือจากเชื้อสายตรงของนายท่านตระกูลมู่แล้ว ยังมีพรรคย่อย ๆ อีก ซึ่งมีหลายจุดมากที่ต่างฝ่ายต่างไม่เห็นด้วยกับแผนการที่วางไว้
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ปฏิบัติต่อหลัวซิว แผนการของนายท่านตระกูลมู่คือไม่เป็นศัตรูกับหลัวซิวและเผ่าจี้ เนื่องจากหากยืนยันที่จะสืบสวนเรื่องการตายของมู่ช่าวหวง ก็ต้องได้ปะทะกับเผ่าจี้ที่อยู่เบื้องหลังหลัวซิวอย่างแน่นอน ซึ่งการทำเช่นนี้มันไม่มีประโยชน์ต่อแผนการพัฒนาในอนาคตของตระกูลมู่เลยแม้แต่น้อย
แต่ก็มีคนคิดเช่นกันว่าหากไม่สืบสวนเรื่องการตายของมู่ช่าวหวง แล้วจะเอาความน่าเกรงขามของตระกูลมู่ไปไว้ที่ใด?
ซึ่งผู้อาวุส่งคิ้วแดงที่พูดจาเสียดสีอย่างไม่เกรงใจในวินาทีนี้ ก็คือผู้สนับสนุนพรรคนี้อย่างไร้ข้อสงสัยเลย
ผู้น้อยคนหนึ่งที่ฝึกตนไม่ถึงพันปี ก็แค่อาศัยหุ่นเชิดระดับจักรพรรดิเทพเท่านั้นแหละถึงสามารถต่อกรกับจักรพรรดิเทพได้ อ้างอิงจากข่าวคราวที่มู่จื่อเซียวส่งกลับมา หุ่นเชิดจักรพรรดิเทพของหลัวซิวถูกอัสนีเทวทัณฑ์สวรรค์ทำลายล้างอยู่บนดาราเสวียนหมิงแล้ว เมื่อไม่มีหุ่นเชิดจักรพรรดิเทพเป็นที่พึ่งพิง ผู้น้อยคนนี้มันจะมีค่าอะไร?
อดีตหลัวซิวสัมผัสได้อยู่ว่าตระกูลมู่ตั้งใจที่จะคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่าย เดิมทีนึกว่าการมาตระกูลมู่ในครั้งนี้น่าจะค่อนข้างราบรื่น แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีอุปสรรคมากมายเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคนนี้มีนามว่าอะไรหรือ?”หลัวซิวถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“หึ ข้ามีนามว่ามู่เต๋อหนาน ช่าวหวงคือหลานชายของข้า บัดนี้เจ้าทราบหรือยังว่าข้าคือผู้ใด?”ผู้อาวุโสคิ้วแดงทำเสียงหึอย่างโกรธเคือง หากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงแผนการของนายท่าน เขาคงลงมือช่วยหลานชายตัวเองล้างแค้นตั้งนานแล้ว
มีรัศมีแห่งความดุร้ายเป็นประกายอยู่ในแววตาคาดิสลาร์ มีคนจาบจ้วงนายท่าน ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก ชี่โหดเดือดพล่าน หากไม่มีคำสั่งของหลัวซิว เขาคงพุ่งเข้าไปฉีกกระชากตาแก่นั่นให้แหลกเป็นชิ้น ๆ ตั้งนานแล้ว
“เหอะ ๆ ที่แท้ก็คือผู้อาวุโสเต๋อหนานนี่เอง หรือว่าผู้อาวุโสยังมีความรู้สึกขัดข้องต่อข้าเพราะเรื่องของมู่ช่าวหวง?”
“อิงจากการนับรุ่น เจ้าอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับช่าวหวง อย่างน้อยก็ต้องเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโส เจ้าสังหารหลานชายของข้า หรือว่าข้าจักมีความรู้สึกขัดข้องต่อเจ้ามิได้เลย อีกทั้งยังต้องขอบคุณเจ้าอีกหรือ?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่เต๋อหนานก็รู้สึกว่าไฟโกรธที่กำลังระงับอยู่ในอกใกล้จะปะทุออกมาแล้ว
“ข้าคิดว่าผู้อาวุโสเต๋อหนานเข้าใจผิดแล้วล่ะ ลำดับแรกผลการฝึกตนของเจ้าก็เป็นเพียงจักรพรรดิเทพขั้น 4 เล็ก ๆ ซึ่งยังไม่มีสิทธิ์ให้ข้าเรียกเจ้าว่าท่านผู้อาวุโส”
หลัวซิวต้องสัมผัสความไม่เป็นมิตรและจิตสังหารได้จากฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว สีหน้าของเขาก็เยือกเย็นลงเช่นกัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง: “ในส่วนของครั้นเมื่ออยู่ในแดนเทวนิรันกาลนั้น ถ้าเกิดมู่ช่าวหวงมันไม่มีความคิดที่จะฆ่าข้า มันก็คงไม่มีทางได้ตายอยู่ในเงื้อมมือข้าหรอก หรือว่าในความคิดของเจ้า แค่อนุญาตให้หลานชายเจ้าสังหารข้า แต่ข้าสังหารมันไม่ได้?”
“มึง……มึงมันเขียงข้าง ๆ คู ๆ! ช่างเป็นเดรัจฉานที่ปากดียิ่งนัก!”เต๋อหนานโกรธเกรี้ยวอย่างมาก จิตสังหารบนตัวลุกโชน มีท่าทีที่จะลงมือโจมตีแล้ว