มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2579
ถึงแม้จะรู้อยู่ว่าหลัวซิวเป็นผู้ที่รุกรานไม่ง่าย แต่บรรพอาจารย์ทั้งสามจากตระกูลหยูก็ยากที่จะถอนตัวออกจากสถานการณ์นี้แล้ว หากไม่สามารถจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมละก็ บุญบารมีของตระกูลหยูที่อยู่ในแผ่นดินแสงดาวต้องได้รับผลกระทบอย่างมากแน่นอน
“หลัวซิว ตระกูลหยูของเราไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อเจ้า เหตุใดเจ้าถึงต้องฆ่ามาถึงเมืองตระกูลหยูของเราอย่างไร้เหตุผลด้วย?”หยูเหลียงหลงตะคอกด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม สีหน้าหม่นหมองจนน่ากลัว
“ไม่มีบุญคุณความแค้น? หากไม่มีบุญคุณความแค้นละก็ เหตุใดผู้อาวุโสตระกูลหยูของพวกเจ้าถึงต้องกักขังภรรยาข้า หากไม่ใช่เพราะข้ามาได้ทันท่วงที เกรงว่าภรรยาของข้าคงจะถูกมันเอาไปฝึกวิชามนต์ดำแล้ว!”
หลัวซิวยิ้มเยาะ “เดิมทีข้าไม่มีความคิดที่จะมาหาเรื่องตระกูลหยูเลย ทว่าตระกูลหยูของพวกเจ้ากลับรนหาที่ตาย ถึงขั้นส่งคนมาหาข้าถึงที่ หากข้าไม่มาทักทายตระกูลหยูของพวกเจ้า มันจะเป็นการทำให้ตระกูลหยูของพวกเจ้าเสียน้ำใจจริง ๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของบรรพอาจารย์จักรพรรดิเทพทั้งสามตคนก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา วินาทีนี้พวกเขาจะยังไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าหยูเชียนฮว่าตายยังไง แต่ว่าพวกเขาแค่ไม่เข้าใจว่าหยูเชียนฮว่าคิดอย่างไรกันแน่ ถึงขั้นจับกุมตัวภรรยาของหลัวซิวมาฝึกวิชามนต์ดำ?
“เหลวไหล! แม้นเจ้าจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ทว่าก็เป็นเพียงผู้น้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่ข้าพูดจากับเจ้าดี ๆ นั้นเป็นเพราะไว้หน้าเผ่าจี้ หากเจ้าประเมินสถานการณ์เป็นก็กลับไปซะ มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกข้าลงมือกดอัดเจ้า แล้วไปขอคำอธิบายจากเผ่าจี้ก็แล้วกัน!”
ตระกูลหยูไม่มีทางยอมรับในสิ่งที่หยูเชียนฮว่ากระทำอยู่แล้ว เวลานี้ก็จะทำให้ตระกูลหยูอับอายขายหน้าไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นจึงทำได้เพียงฝืนพูดอย่างดุดัน
ถึงแม้พวกเขาจะเคยได้ยินมาก่อนว่าหลัวซิวมีอุบายในการต่อกรกับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพ แต่ตระกูลหยูมีบรรพอาจารย์จักรพรรดิเทพสามคน แล้วจะเกรงกลัวเขาที่เป็นผู้น้อยคนหนึ่งหรือ?
อีกทั้งมีผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสจำนวนมากต่างคิดว่าข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับหลัวซิวนั้น เป็นเพียงสิ่งที่ไม่เป็นจริงพูดลือผิดต่อ ๆ กันมาเท่านั้นแหละ ต่อให้ผู้น้อยคนหนึ่งจะเก่งกาจมากเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นทำให้ตระกูลสำนักจักรพรรดิจำนวนมากหวาดหวั่น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเลยว่าบรรพอาจารย์จักรพรรดิเทพทั้งสามคนในตระกูลหยูต่างมีความคิดและแนวคิดในทำนองเดียวกัน
“กดอัดกู?”
หลัวซิวแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะดังลั่น เส้นผมที่ยาวสลวยปลิวลอย กวาดตามองบรรพอาจารย์ทั้งสามจากตระกูลหยูด้วยสายตาที่ดูหมิ่นรอบหนึ่ง ก่อนยิ้มเยาะพลางพูด: “พวกมึงก็แก่จนใกล้จะเข้าโลงแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังพูดคำพูดที่ไร้เดียงเช่นนี้ออกมาได้อีก ช่างน่าขำยิ่งนัก”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็ลงมือโจมตีแล้ว เขาไม่อยากเสวนากับตาแก่พวกนี้ในตระกูลหยูเลยด้วยซ้ำ
“ผู้น้อย เจ้าโอหังมากเกินไปแล้ว! ข้าหยูเหลียงเซิงจักประลองกับเจ้าเอง!”
บรรพอาจารย์ตระกูลหยูคนหนึ่งตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปตรงหน้าหลัวซิว บนร่างกายมีออร่าผลการฝึกตนของผู้แข็งแกร่งแดนจักรพรรดิเทพขั้น 1 ซัดสาด
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำการกดอัดหลัวซิว เพื่อใช้วิธีนี้มากอบกู้บุญบารมีของตระกูลหยูกลับคืนมา เพราะฉะนั้นทันทีที่ลงมือเขาก็ใช้พลังอมตะที่ทรงพลังที่สุด กฎพลังเต๋าสีกากีผนึกรวมกัน กลายเป็นภูเขาลูกใหญ่ กดอัดไปทางหลัวซิว
“ทักษะกระจอกงอกง่อย!”
ภายในแววตาหลัวซิวเต็มเปี่ยมไปด้วยความดูถูก ผลการฝึกตนของเขาเทียบเคียงกับจักรพรรดิเทพไม่ได้ แต่ในเรื่องกฎ เขากลับยึดกุมกฎที่อยู่เหนือจักรพรรดิเทพ
โคจรกฎบริภูมิ ร่างกายเขาหายวับไปภายในพริบตา หลุดพ้นจากการผนึกของพลังเต๋ากฎธาตุดินได้ทันที
เขาเทเลพอร์ตไปด้านหลังหยูเหลียงเซิง ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมานิ้วหนึ่ง โคจรพลังอมตะของกฎลดเวลา มีรัศมีเทวที่แวววาวจับตาระเบิดออกมาจากกระบี่ร่องฟ้าแล้วบินออกมาจากร่างกายเขา ก่อนจะพุ่งสับไปทางหลังศรีษะหยูเหลียงเซิง
หยูเหลียงเซิงตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี แค่การหันหน้ากลับไปอย่างง่าย ๆ เขาถึงขั้นรู้สึกว่ากิริยาท่าทางของตัวเองช้าลงสิบเท่า ถึงแม้จะโคจรกฎผลการฝึกตนเพื่อหลุดพ้นจากการพันธนาการของกฎเวลา เมื่อเขาหันหน้ากลับมา แสงกระบี่จากกระบี่ร่องฟ้าก็มาถึงตรงหน้าเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว