12.คิดคำนวณวา..
เขารวมข้อกังขาทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกันในคราวเดียว แล้วออกมาเป็นคำถามที่สื่อสารออกจากปาก
หลิ่วเจินรู้ว่านางและเจ้าของร่างเดิมนั้นมีบุคลิกแตกต่าง กัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้กู้หรูเฟิงสงสัย แต่นางก็ไม่สามารถแสดง บุคลิกร้ายกาจเต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บแหลมคมแบบเจ้าของร่าง ได้ สิ่งที่ทำได้อย่างแรกสุดคือการหาเหตุผลมาอธิบาย หลังจากข้าได้ขึ้นไปบนภูเขา ก็รู้สึกว่าชีวิตมันช่างลำบากยาก แค้นนัก เลยรู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา และคิดว่ามิสู้ตาย ๆ ไปยังจะ ดีเสียกว่า ข้าก็เลยกินของพวกนั้นเข้าไปแบบดิบ ๆ ทว่ารสชาติ มันไม่ได้เรื่อง เลยบังเกิดความคิดว่าหากเอาไปทำให้สุก รสชาติคงจะดีขึ้นมาบ้าง ดังนั้นเมื่อเอาของพวกนั้น ไปปรุงจน สุกดีแล้ว ข้าก็กินเข้าไป มิคาดว่าเมื่อกินลงไปแล้ว ตัวเองกลับ ไม่ตาย ข้าถึงได้รู้ว่าของที่ข้าเก็บมาเหล่านี้ จะทำให้เรามีชีวิต รอดตลอดเหมันต์ฤดูได้”
กู้หรูเฟิงขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาที่ทอดมองอีกฝ่ายฉายแววลึก ซึ่ง ซึ่งดูลึกซึ้งเป็นประกายคล้ายดวงดาวในยามราตรี “ต่อไป ภายหน้าเจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีกเลย”
แน่นอน เจินคงไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้นอยู่แล้ว ครั้น แล้วหญิงสาวจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงแม้นางจะเอาเรื่องนี้มาเบี่ยงเบนประเด็น จนเขาปล่อย
ผ่านเรื่องข้อกังขาในบุคลิกไปได้ชั่วคราว
รอพักฟื้นไปอีกสักครึ่งเดือน จนร่างกายของกู้หรูเฟิงฟื้นฟู จนเกือบเต็มที่ หลิ่วเจินจะนำเรื่องซ่อมแซมบ้านขึ้นมาหารือ เรื่องของเรื่องก็คือ นางยังมีเงิน 5 ตำลึงเหลืออยู่ในมือ
“ภายภาคหน้า ต่อให้เป็นท่านที่ย้ายไป หรือเป็นข้าที่ย้าย ออกไป ทว่าในตอนนี้ พวกเรายังคงต้องอาศัยอยู่ที่นี่ อีกไม่นาน หิมะใกล้จะตกแล้ว และบ้านที่มีรอยแตกรอยรั่วไปทั่วจนลม หนาวเล็ดรอดเข้ามาได้หลังนี้ จะไม่มีใครสามารถอาศัยอยู่ได้” หลิ่วเจินเริ่มนับนิ้วคำนวณอยู่พักหนึ่ง นางทนไม่ได้ที่จะเอาเงิน ไปใช้ซ่อมบ้าน ซึ่งประมาณดูแล้วเมื่อใช้ไป น่าจะเหลือเงินอยู่ ไม่ถึงหนึ่งหรือสองตำลึง โชคดีที่ในช่วงเหมันต์ฤดู คนที่ ประกอบอาชีพตัดฟื้นขายนับว่ามีไม่น้อย และหลังจากนี้ นางจะ ขึ้นเขาเข้าป่าอีก เพื่อดูว่าพอจะมีสมุนไพรอันใดให้เก็บกลับมา ได้บ้างหรือไม่ ประกอบกับหากพวกนางกินอยู่กันอย่าง ประหยัด และใช้เงินอย่างอดออม ก็น่าจะพอถูไถเอาชีวิตรอด ไปได้
กู้หรูเฟิงทอดมองคนที่กำลังนั่งคิดคำนวณวางแผนอย่าง ละเอียดละออ หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่า เจ้ากำลังกังวลเรื่องฟิน เงินที่มีอยู่นี่ เอาเงินไปใช้ซ่อมบ้านเถิด ภายหลังข้าจะไปตัดฟื้นกลับมาให้เองแล้วกัน ในภูเขาลึกนะ มี อันตรายมากมายรอบด้าน ในเมื่อยากจะเข้าไป ก็จงอย่า เข้าไปเลยดีกว่า”
“ท่านเองก็ไม่รู้วิธีตัดฟืนนี่
“มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่ทำนี่” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ปราศจากความกดดัน จากนั้นก็ไม่เอ่ยอันใดต่อ เพียงหยิบตำราที่เหลือเพียงเล่มเดียวนั้นออกมา แล้วเอนตัวพิง โต๊ะอ่านตำราไปเงียบ ๆ
หลิ่วเจินไม่รู้ว่าเหตุใด ถึงได้รู้สึกคล้อยตามวาจาเบา สบายดุจขนนกลอยละล่องของเขานัก หญิงสาวยักไหล่และเลิก โต้แย้งในที่สุด
หลังจากหารือถึงความจำเป็นในการซ่อมแซมรอยแตกรั่ว ของตัวบ้าน หลิ่วเจินจึงไปหาช่างไม้ซึ่งพวกเขาล้วนอาศัยอยู่ใน หมู่บ้านเดียวกันพอดี นางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อาศัยแค่หน้าที่หนา กว่าปกติเล็กน้อย เจรจาหารือ “พี่ชาย ท่านก็เห็นสถานการณ์ ในบ้านข้าตอนนี้ ข้าไม่สามารถควักเงินออกมาจ่ายเพิ่มกว่านี้ ได้อีกจริง ๆ อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่แล้ว แม้ว่าเงิน 5 ตำลึงจะไม่มาก ท่านก็สามารถเอาไปซื้อเนื้อวัว หรือเนื้อหมู ไปทำเกี่ยวรูปถุงเงินกินฉลองปีใหม่ ดีหรือไม่?”
พี่ชายในหมู่บ้านเดียวกันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงพรูลม หายใจ “ข้าไม่เคยพบเคยเห็น ใครที่คำนวณเสียละเอียดยิบ เช่นเจ้ามาก่อน ไม่เป็นไร ช่างเถิด คิดเสียว่าเห็นแก่คนหมู่บ้าน เดียวกันก็แล้วกัน”
หลิวเจินยิ้มแย้มแจ่มใส ซ้ำยังรินน้ำชามาบริการ นางฉีก ยิ้มเสียจนตัวเองรู้สึกปวดแก้มเล็กน้อย อันที่จริง หญิงสาวไม่ เก่งเรื่องการดูแลรับรองผู้คน ทว่ากู้หรูเฟิงที่ชอบเฉยชาอยู่เป็น นิจ ดูคล้ายจะย่ำแย่ยิ่งกว่า
แต่ในไม่ช้านางก็รู้ว่าตนเองดูคนผิดไป เดิมที่นางเชื่อว่า ชายหนุ่มคงคล้ายเหล่าคุณชาย ที่มีรูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน ตลอดเวลา ลงท้ายแล้วไม่มีอย่างที่นางนึกวาดภาพไว้เลยสัก กะฝึก ขณะที่นางกำลังเจรจาธุระกับพี่ชายในหมู่บ้าน เขาก็เดิน แบกกระสอบทรายเข้ามาในบ้าน และไม่สนใจที่ตัวเองสกปรก มอมแมมไปทั้งตัว
พี่ชายจากหมู่บ้านเดียวกันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ข้า ได้ยินคนเขาพูดกันว่าท่านเป็นบัณฑิต” คนผู้นี้ดูท่าทาง บอบบางอ่อนแอ ไม่นึกว่าจะแข็งแกร่งมีแรงเยอะจริง ๆ
กู้หรูเฟิงเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อย “ใครก็ตามที่ไร้โประ โยชน์ ผู้นั้นก็คือบัณฑิต”
* ไอ้หยา….คนทุกคนล้วนมีประโยชน์กันทั้งนั้น คนที่สมอง กลวงมีดีแต่ใช้แรงกายอย่างข้า มิได้อยู่ดีมีสุขรี? มีวลือะไรน้า ที่คนเขาพูดกัน? ใช่แล้ว เสือซ่อนเล็บ…ใช่ไหม[1]”
..
(1)เสื้อซ่อนเล็บ : หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นอย่างดี แต่ไม่แสดงออกหรือเปิดเผยให้คนอื่นเห็น ทำตัว นิ่งๆ เงียบๆเหมือนไม่มี อะไร