สำหรับการควบคุมและยึดกุมค่ายกลของนักค่ายเทพนั้น สิ่งที่อาศัยคือวิกล ผลการฝึกตนและตัวสำนึก
ในธงค่ายนับพันที่จัดวางอยู่รอบภูเขาถูหลิงมีลายค่ายและยันต์ค่ายสลักอยู่ทุกผืน ซึ่งล้วนมาจากเงื้อมมือหงหวู้ เพราะฉะนั้นภายในธงค่ายเหล่านั้นล้วนมีตราประทับของเขาแฝงซ่อน อีกทั้งมีผลการฝึกตนและตัวสำนึกของเขาผนึกรวมกันอยู่ด้วย
ฉะนั้นแทบจะภายในเวลาเสี้ยวความคิดเดียวเท่านั้น หงหวู้ก็ระดมพลังธงค่ายนับร้อย ลายค่ายและยันต์ค่ายที่นับไม่ถ้วนตัดสลับรวมกัน กลายเป็นค่ายพิฆาต จิตสังหารที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้ตลบฟุ้งไปทั่วฟ้าดิน
“มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิ ท่านชายซิวหลัว ไม่นึกเลยว่าพวกเจ้าถึงขั้นร่วมมือกันแล้ว แต่พวกเจ้าก็ถือดีมากเกินไปแล้ว ถึงกับบุกเข้ามาในค่ายกลของข้า ต่อให้พวกเจ้าจะมีสามเศียรหกกร วันนี้ก็อย่าคิดว่าจะหนีรอดออกไปได้!”
หงหวู้มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แม้นผลการฝึกตนของเขาจะเป็นเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ แต่เมื่ออาศัยพลังธงค่ายนับพัน มาตรแม้นว่าเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลาย เขาก็สามารถต่อกรได้
หลัวซิวทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง หันไปมองสนามรบฝั่งลาร์และมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิรอบหนึ่ง แม้จะเป็นสองต่อสาม แต่ศักยภาพของลาร์และมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิต่างเกะกะระรานมาก พวกเขาทั้งสองเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบโดยสมบูรณ์เลย
จุดประสงค์ของพวกบรรพอาจารย์แสงดาวก็คือถ่วงลาร์และมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิเอาไว้ ขอแค่ช่วงชิงเวลาให้หงหวู้อีกระยะ ทันทีที่พลานุภาพของธงค่ายนับพันถูกระดม ก็จะสามารถปราบปรามคู่ต่อสู้ทั้งปวงได้
แต่หลัวซิวกลับไม่ให้โอกาสหงหวู้ได้ทำเช่นนั้น ตัวสำนึกของเขาม้วนซัดมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ถึงแม้ตัวสำนึกของเขาจะอยู่แค่ระดับจ้าวมหาเทพขั้นสูง แต่เนื่องจากฝึกจนบรรลุเป็นญาณเทวแล้ว อันที่จริงระดับตัวสำนึกของเขาแข็งแกร่งกว่าของหงหวู้ไม่เพียงหนึ่งระดับเท่านั้น
คนหนึ่งได้เปรียบด้านระดับขั้น ส่วนอีกคนหนึ่งได้เปรียบด้านคุณภาพ ด้านตัวสำนึกของหลัวซิวสามารถต่อกรกับหงหวู้ได้โดยสมบูรณ์เลย มากกว่านั้นคือเขาเหนือชั้นกว่าด้วย
ตู้มม!
ภายในเวลาเสี้ยววินาที ตัวสำนึกของหลัวซิวก็แบ่งแยกออกเป็นสามร้อยดวง ต่างผนึกไปที่ธงค่ายสามร้อยผืน จากนั้นตัวสำนึกของเขาและหงหวู้ก็ปะทะกันอย่างดุเดือดในธงค่าย
ถึงแม้ตัวสำนึกของเขาจะสามารถแบ่งแยกออกเป็นหลายดวง แต่ยิ่งแบ่งออกเยอะ พลังตัวสำนึกก็จะลดลงไปเยอะ ซึ่งจำนวนสามร้อยดวงนั้นเป็นจำนวนตัวเลขที่พอเหมาะพอเจาะเลย สามารถทำให้พลังตัวสำนึกของเขาปลดปล่อยพลานุภาพและประสิทธิผลที่ดีที่สุดออกมา
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็เผาผลาญพลังและเลือดทั้งร่างกาย ยิ่งเผาผลาญโลหิตแห่งชิงเทียนอีกครั้งโดยไม่สนว่าต้องแลกกับอะไร ฝืนยกระดับผลการฝึกตนขึ้นไปถึงระดับจักรพรรดิเทพ
จากผลการฝึกตนระดับจักรพรรดิเทพ พลังเวทย์ของเขาก็จะไม่ด้อยกว่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นปฐมภูมิ!
ภายใต้เงื่อนไขที่ผลการฝึกตนและตัวสำนึกของทั้งสองฝ่ายต่างไม่ถึงขั้นที่ได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด เช่นนั้นการดวลกันในด้านค่ายกลนั้น ผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่าก็ต้องดูที่วิกลแล้วล่ะ
แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระดับวิกลที่หงหวู้ฝึกนั้นสูงมาก ราวกับมีเงาของวิชาฎีกาค่ายลาง ๆ นี่จึงทำให้หลัวซิวแทบจะสามารถยืนยันได้เลยว่า การที่หงหวู้สามารถเดินบนวิถีค่ายกลแล้วขึ้นมาถึงแดนอย่างปัจจุบันได้นั้น เขามีโอกาสได้รับโชคโอกาสสูงมาก ได้รับเศษฎีกาค่าย
เมื่อปีนั้นหลัวซิวก็ได้รับเศษฎีกาค่ายเช่นกัน แต่ทว่าวิชาฎีกาค่ายของเขาอยู่เหนือฎีกาค่ายดั้งเดิมแล้ว เพราะเขาอ้างอิงจากเศษฎีกาค่าย แล้วใช้วิถีไร้ลักษณ์ทำให้มันสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น จนอนุมานวิกลที่เป็นของตัวเองออกมา
“นี่มันเป็นไปไม่ได้! ……”
สีหน้าของหงหวู้เปลี่ยนไปกะทันหัน การที่ตัวสำนึกและผลการฝึกตนของฝ่ายตรงข้ามสามารถอยู่ในระดับที่สูสีกับตัวเองได้นั้น ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก ๆ แล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าฝ่ายตรงข้ามจะสามารถกดอัดวิกลของตนได้เช่นกัน นี่จึงทำให้หงหวู้คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง
ตั้งแต่แดนวิถีค่ายกลบรรลุถึงระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์เป็นต้นมา เขามั่นใจว่าในมหาโลกาพันสามนี้ ตนต้องเป็นอันดับหนึ่งในด้านวิถีค่ายกลสมคำกล่าวขานอย่างแน่นอน หลัวซิวนี่เพิ่งฝึกตนมาแค่กี่ปีเอง? เขาจะมีทางเก่งกาจถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?