“อีกไม่นานข้าก็จะทำให้เจ้าได้รู้เองว่าข้ามีศักยภาพนั้นหรือไม่”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เงาร่างของหลัวซิวก็ร่วงลงบนเวทีประลองยุทธ์เป็นที่เรียบร้อย ระหว่างเขาและตระกูลหงไม่มีทางมีพื้นที่ให้ญาติดีกันได้อีก เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีความคิดที่จะออมมือต่อการแข่งขันในครั้งนี้
เมื่อเห็นหลัวซิวปรากฏบนเวทีประลองยุทธ์ รอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าหงเว่ยก็หายวับไปภายในพริบตา สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือจิตสังหารที่เข้มงวดและรวดเร็วดุดันอย่างยิ่ง
เขาดูเหมือนดูแคลนคู่ต่อสู้ แต่แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงบุคลิกลักษณะหนึ่งเท่านั้น อย่าว่าแต่ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาศักยภาพที่แท้จริงของหลัวซิวนี่ได้เลย ต่อให้หลัวซิวเป็นเพียงจ้าวมหาเทพธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง เขาก็จะทุ่มสุดกำลังสามารถเช่นกัน
เนื่องจากนี่ไม่ได้เกี่ยวโยงถึงความเป็นความตายของตัวเองเท่านั้น ยังเกี่ยวโยงถึงภาพลักษณ์หน้าตาของทั้งตระกูลหงด้วย
การถ่ายทอดสืบสานของตระกูลหงคือเคล็ดตรีภพโกลาหล ทันทีที่หงเว่ยโคจรวรยุทธ์ ทั้งเวทีประลองยุทธ์ก็ประกอบเป็นอาณาจักรตรีภพ
เวิ่ง!
หลัวซิวทำการเผาผลาญพลังและเลือดอย่างไม่ลังเลใจ ผลการฝึกตนจากจ้าวมหาเทพขั้น 4 เพิ่มขึ้นถึงจ้าวมหาเทพขั้น 7 ในรวดเดียว บรรลุสูงถึงจ้าวมหาเทพช่วงปลาย
และสำหรับหลัวซิวแล้ว จ้าวมหาเทพช่วงปลายก็หมายความว่าเขาสามารถปลดปล่อยศักยภาพที่เทียบเท่าจักรพรรดิเทพช่วงปลายออกมาได้
พลานุภาพประเภทหนึ่งที่มากมายมหาศาลแผ่คลุมมา หลัวซิวยื่นมือออกไปขยำทีเดียว กระบี่ร่องฟ้าก็ปรากฏในมือ ผนึกรวมกฎความตายและปริภูมิสองประเภทเข้าด้วยกัน ก่อนจะง้างมือแล้วฟาดฟันกระบี่ออกไป
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……
ร่างกายของหลัวซิวถอยหลังกลับไปติดต่อกันสามก้าว บริเวณหน้าอกเขาถูกฉีกกระชากจนเกิดเป็นแผลหนึ่งจุด ทำให้มีเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมา
ฝั่งตรงข้ามของเขา เงาร่างหงเว่ยได้เดินออกมาจากตรีภพ บนใบหน้าไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลย พลางพูดอย่างเยือกเย็น: “นี่คือศักยภาพของเจ้าหรือ? ก็พอถูไถสามารถเทียบเคียงกับจักรพรรดิเทพช่วงปลายได้แล้ว ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับข้า ก็ยังห่างไกลมาก ๆ!”
หลัวซิวหรี่ตาลง กระบี่ร่องฟ้าที่อยู่ในมือเปลี่ยนแปลงกระบวนท่ากะทันหัน ปลดปล่อยพลังอมตะของตราประทับปรปักษ์สวรรค์ออกไป
ตู้มม!
เสียงระเบิดที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังก้องขึ้นมา ร่างกายของหลัวซิวบินกระเด็นออกไป พลังตรีภพที่หงเว่ยผนึกรวมออกมาหนักหน่วงอย่างยิ่ง ทุกการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามก็เหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่พุ่งชนเข้ามา ทำให้ศัตรูรู้สึกกดดันราวกับไม่อาจต้านทานได้
ตรีภพเป็นหนึ่งในกฎที่ถูกมองว่าฝึกยากมากที่สุดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เนื่องจากธาตุที่ตรีภพครอบคลุมมีมากเกินไป เมื่อบุคคลที่แตกต่างกันฝึกกฎตรีภพ ผลลัพธ์ของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่นกฎตรีภพที่หงเว่ยฝึก ซึ่งธาตุของมันก็คือความหนักหน่วง นี่จึงทำให้ทุกการโจมตีที่เขาปลดปล่อยออกมาอย่างสบายมือ แค่ความหนักที่เกิดจากพลังตรีภพเพียงอย่างเดียว ก็ก่อให้เกิดแรงโจมตีที่ทรงพลังอย่างยิ่งแล้ว
“ไม่นึกเลยว่าร่างเนื้อของเจ้าก็บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพแล้ว สามารถต้านทานการโจมตีของข้าสองครั้งโดยไม่ตาย เจ้าจึงมีคุณสมบัติในการอวดดีแล้วล่ะ”
หงเว่ยทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ในระหว่างที่พูดอยู่นั้นเขาก็ได้ลงมือโจมตีอีกครั้ง พลังตรีภพถูกเขาผนึกรวมกันจนกลายเป็นภูเขาสีเทาที่สูงใหญ่หนึ่งลูก กดอัดมาจนเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
เมื่ออยู่ภายใต้การกดอัดจากน้ำหนักของพลังตรีภพ ทำให้พื้นที่บริเวณรอบ ๆ แข็งทื่อขึ้นมา ถูกกดอัดจนเกิดเป็นระลอกคลื่น
“สวรรค์ปราบ!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น กระบี่ร่องฟ้าถูกย้อมเต็มไปด้วยเลือดสีแดงหนึ่งชั้นภายในพริบตา ร่างกายเขาราวกับหลอมรวมเข้ากับกระบี่ร่องฟ้าจนเป็นอันหนึ่งเดียวกันยังไงอย่างนั้น แล้วกลายเป็นหอกโลหิตสีแดงฉานหนึ่งเล่ม
ยากที่จะต้านทานน้ำหนักของตรีภพ เช่นนั้นจึงทำได้เพียงอาศัยพลังโจมตีที่แข็งแกร่งมาทลายมัน เนื่องจากการโจมตีก็คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็โคจรพลังเกณฑ์เวลาไปด้วย เพลาไหลรวยสายหนึ่งพรั่งพรูปรากฏ ณ เสี้ยววินาทีนี้ ทำให้ทุกสิ่งอย่างที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ได้รับผลกระทบจากการลดเวลา เพราะผลการฝึกตนของหงเว่ยสูงกว่าหลัวซิวมาก ๆ ดังนั้นจึงไม่บรรลุประสิทธิผลเรื่องเวลาหยุดนิ่ง แต่ความเร็วของเขาก็ช้าลงเยอะมาก
ตู้มม!
ร่างกายของหลัวซิวถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปอีกครั้ง ทว่าภายใต้ผลกระทบจากพลังอมตะอย่างเพลาไหลรวย หงเว่ยก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของหอกโลหิตสังหารสวรรค์ได้เช่นกัน