มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2640
“ไสหัวออกไปซะ!”
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิตะคอกอย่างเยือกเย็น ก่อนจะใช้ฝ่ามือโจมตีบรรพอาจารย์จ้านเทียนจนกระเด็นออกไปไกลหลายพันไมล์ โลงศพเทวสีดำขลับใบหนึ่งขยายใหญ่ขึ้นตามแรงลม เหมือนดั่งสันเขาสีดำที่ลอยอยู่กลางนภาสูง
ก่วง!
กระบี่เทพของหรงเทาฟาดฟันลงบนลงโลงศพเทว จนเกิดเป็นเสียงดังกึกก้องที่น่ากลัว โลงศพเทวมรณาตั้งตระหง่านไม่ขยับ ไม่ต้องเปลืองแรงเลยก็ต้านทานพลังโจมตีในครั้งนี้เอาไว้ได้แล้ว
“มหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายแล้วน่าสรรเสริญมากเลยรึ? วันนี้ข้าจะสอนเจ้าดี ๆ เองว่าอะไรคือมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายที่แท้จริง!”
มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วคำรามเสียงยาว ก่อนจะกระตุ้นโลงศพเทวให้ลอยขึ้น มีพลังออร่าที่แข็งแกร่งของมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายระเบิดออกมาจากร่างกาย
นี่จึงทำให้สีหน้าของหรงเทาเปลี่ยนแปลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้รับมา ผลการฝึกตนของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิเพิ่งฟื้นฟูกลับไปถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์เป็นช่วงกลางมิใช่หรือ? นี่เพิ่งผ่านไปแค่กี่ปีเอง ไม่นึกเลยว่าจะฟื้นฟูกลับมาถึงมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายแล้วอย่างนั้นหรือ? มันจะมีทางรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร?
ลาร์ก็บุกฆ่าเข้าไปบนสนามรบเช่นกัน เขากลายร่างเป็นร่างดั้งเดิมของยักษ์อัสนีโดยตรง เมื่อเข่นฆ่าอยู่ภายใต้สนามรบที่ขอบข่ายกว้างใหญ่เช่นนี้ สามารถพูดได้เลยว่าลาร์คือเครื่องจักรสงครามที่โหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง ร่างกายที่เกะกะระรานแทบจะสามารถมองข้ามการโจมตีส่วนมาก สามารถโจมตีเป็นวงกว้างได้อย่างง่ายดาย
“ตู้ม!”
มีเงาดำอีกร่างหนึ่งออกมาจากพระราชวังบนภูเขาเซียนดึกดำบรรพ์มีพลังออร่าของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสูงทะลักออกมาจากร่างกาย ซึ่งเขาก็คือที่พึ่งพิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของซือถูเซิ่งเจี๋ยในสงครามครั้งนี้ หลู่ซิวเหวิน!
หลู่ซิวเหวินปะทะกับลาร์ แม้นลาร์จะเป็นเทพมารระดับเจ็ด ทว่าเนื่องจากสามารถใช้ตัวสำนึกและผลการฝึกตนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำอะไรหลู่ซิวเหวินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
กระทั่งวินาทีนี้ ฝั่งเผ่าจี้ก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์แล้ว มีรอยยิ้มอันเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าซือถูเซิ่งเจี๋ย นั่งอยู่บนราชรถแล้วบินไปเยือนนภาเหนือแดนปริศนาเผ่าจี้
“หลัวซิว!”
ซือถูเซิ่งเจี๋ยมองกราดลงมาจากที่สูง “ครั้งก่อนเป็นเพราะการปรากฏตัวของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิ ทำให้กูไม่สามารถลงมือสังหารมึงได้ด้วยตนเอง วันนี้กูจักดูซิว่ามึงยังมีอุบายอะไร!”
“เหอะ ๆ ประมุขเขาซือถูนี่ช่างมั่นใจในตัวเองเสียจริง อุบายของกูน่ะมีอยู่ถมไป ซึ่งอยู่เหนือการจินตนาการของมึงแน่นอน”หลัวซิวหัวเราะแล้วตอบกลับ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มึงกล้าออกมาปะทะกับกูหรือไม่?”ซือถูเซิ่งเจี๋ยแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ไยจึงไม่กล้าเล่า?”หลัวซิวไม่เก็บมาใส่ใจ
“เฮีย!”จี้หานยู่ดึงแขนเสื้อของหลัวซิวเอาไว้ ถึงแม้นางจะเชื่ออยู่ว่าศักยภาพของหลัวซิวแข็งแกร่งมาก แต่อย่างไรเสียซือถูเซิ่งเจี๋ยก็เป็นผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงกลางนะ
เหยียนเยว่เอ๋อร์ เหยียนซีโรว่และคนอื่น ๆ ก็ต่างพากันเดินเข้ามาเช่นกัน บนใบหน้าล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีแห่งความกังวลใจ
“เฮียอย่าไปเลยเจ้าค่ะ ในแดนปริศนายังมีภูมิฐานของเผ่าจี้เรา มันไม่กล้าเข้ามาหรอก”จี้หานยู่กล่าวเช่นนี้
“แม้นจะพูดเช่นนี้ แต่ถ้าเกิดข้าไม่ออกไปรับมือ ซือถูเซิ่งเจี๋ยก็จะไปให้การช่วยเหลือบนสนามอื่น เช่นนั้นผู้คนที่ยืนหยัดต่อสู้ด้วยใจแกร่งเพื่อเผ่าจี้ของเราอยู่ด้านนอกก็จะอันตรายแล้ว”
หลัวซิวส่ายหน้า เขาต้องทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าการบัญชาการอยู่ภายในแดนปริศนาด้วยตนเอง เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมั่นคงที่สุด แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น
ไม่ว่าจะเป็นฝั่งวังเซียนมหาวาล ตระกูลมู่สรรพสิทธิ์ มหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งนรกภูมิหรือฝั่งลาร์ ต่างประคองสถานการณ์ไว้อย่างสมดุล หากเขาไม่ออกไปรับมือกับซือถูเซิ่งเจี๋ย เช่นนั้นซือถูเซิ่งเจี๋ยก็มีโอกาสกลายเป็นผู้ทำลายความสมดุลนั่น
“วางใจเถิด ข้ามักจะไม่กระทำสิ่งที่ตนไม่มีความมั่นใจ”หลัวซิวยิ้มพลางมองเหล่าสตรีที่อยู่รอบกาย
“นายท่าน ให้ข้าไปพร้อมท่านเถิดขอรับ ข้าบรรลุถึงแดนจักรพรรดิแล้ว หากใช้อภินิหารรวมร่าง น่าจะสามารถช่วยเหลือนายท่านได้อยู่”ดูดจิตเดินเข้ามาพูด
“ไม่ต้องละ จากผลการฝึกตน ณ ปัจจุบันของข้า ต่อให้ใช้อภินิหารรวมร่างก็ไม่สามารถยกระดับศักยภาพของข้าได้มากเท่าไหร่นัก”
หลัวซิวยังคงส่ายหน้าเช่นเคย ภายใต้สายตาที่จับจ้องและกังวลใจของผู้คน เงาร่างของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้า เดินออกไปจากแดนปริศนาเผ่าจี้