มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2657 การทอดสอบหยั่งเชิงของเหลยเทียนฟาง
บนดาราธารานิลมีคูเมืองเพียงสามแห่งเท่านั้น นอกจากเมืองหยุนเมิ่งที่หลัวซิวอยู่แล้ว ยังมีเมืองเหลยเจ๋อและเมืองมังกรนิล
เมืองมังกรนิลถูกควบคุมอยู่ในกำมือของหุบเขามังกรนิล ซึ่งประมุขหุบเขามังกรนิลก็เป็นเจ้าแห่งดาราธารานิลเช่นกัน ดังนั้นเมืองมังกรนิลจึงต้องเป็นคูเมืองที่หรูหรายิ่งใหญ่และสง่างามมากที่สุดบนดาราดวงนี้อยู่แล้ว
และหอโอสถศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องตั้งอยู่ในเมืองมังกรนิลเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
เมื่อหลัวซิวมาถึงเมืองมังกรนิล เขาก็มองเห็นหอคอยที่สูงเสียดเมฆหลังหนึ่งจากที่ไกล ๆ แล้ว สิ่งปลูกสร้างที่สูงใหญ่มากที่สุดในเมืองมังกรนิลไม่ใช่ตำหนักหลักเมือง แต่เป็นหอคอยหลังนั้น หอโอสถศักดิ์สิทธิ์!
ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่าถึงแม้จะอยู่อาณาบริเวณของเมืองมังกรนิล หอโอสถศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้นำหุบเขามังกรนิลมาไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ ครอบครองตำแหน่งเจ้าบ้านอย่างอุกอาจอยู่ที่นี่
เมื่อหลัวซิวเดินเข้าไปในเมือง ขณะที่มาถึงหน้าหอโอสถศักดิ์สิทธิ์ กลับถูกองครักษ์สองคนที่เฝ้าดูแลอยู่ที่นี่สกัดกั้น
“ข้าน้อยมาเข้ารับการประเมินนักกลั่นยาขอรับ”หลัวซิวเอ่ยปากพูด ผลการฝึกตนขององครักษ์ทั้งสองคนนี้ต่างเป็นเทพมารระดับห้าช่วงปลาย จึงแสดงให้เห็นเลยว่าถึงแม้ที่นี่จะเป็นเพียงสำนักงานของหอโอสถศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนดาราธารานิล แต่ก็อย่าริอ่านดูถูกศักยภาพของพวกเขา
“เจ้าจะมาเข้ารับการประเมินนักกลั่นยาระดับใด?”หนึ่งในองครักษ์ถาม
“ระดับหก”หลัวซิวตอบกลับอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เมื่อได้ยินว่าเขาจะมาเข้ารับการประเมินนักกลั่นยาระดับหก เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสีหน้าอารมณ์ขององครักษ์ทั้งสองคนดูตะลึงและไม่ค่อยเชื่อ เนื่องจากพวกเขาต่างทราบดีว่าในสถานที่เล็ก ๆ อย่างดาราธารานิล มีนักยาเซียนระดับหกปรากฏน้อยมาก ผู้ที่มีศักยภาพมาเข้าร่วมการประเมินระดับหกนั้น ก็ต้องเป็นนักกลั่นยาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในดาราธารานิลตั้งนานแล้ว
แต่พวกเขากลับไม่เคยเห็นหน้าคนดังกล่าวมาก่อน อีกทั้งยังหนุ่มขนาดนี้ด้วย ไม่นึกเลยว่าจะกล้ามาเข้ารับการประเมินนักกลั่นยาระดับหกอย่างนั้นหรือ?
“หากเจ้ายืนยันว่าจะเข้ารับการประเมินนักกลั่นยาระดับหกละก็ จำเป็นต้องจ่ายโอสถแก่นแท้ระดับหกหนึ่งล้านเม็ดก่อน ถึงจะสามารถเข้าไปได้”องครักษ์คนนั้นตอบกลับ
“ว่าอย่างไรนะ?”ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหลัวซิวที่ตะลึงงัน แค่การประเมินเดียว ถึงกับต้องใช้โอสถแก่นแท้ระดับหกหนึ่งล้านเม็ดเลยหรือ?
ตอนนี้ในมือเขาแม้แต่โอสถแก่นแท้ระดับห้ายังมีไม่ถึงหนึ่งล้านเม็ดเลย ร้านค้าที่เช่าในก่อนหน้านี้ ก็ใช้เสียหายไปไม่น้อยแล้ว
อีกทั้งอัตราการแลกเปลี่ยนของโอสถแก่นแท้คือหนึ่งต่อหนึ่งร้อย โอสถแก่นแท้ระดับหกหนึ่งล้านเม็ด นั่นมันโอสถแก่นแท้ระดับห้าหนึ่งร้อยล้านเลยนะ!
ถ้าเกิดเขามีโอสถแก่นแท้ที่มากมายขนาดนั้นละก็ เพียงพอที่จะสามารถทำให้พวกเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับห้าขั้นสูงแล้ว
วินาทีนี้ในที่สุดหลัวซิวก็เข้าใจสักทีว่าตนเองนั้นจนมากเพียงใด อย่าว่าแต่โอสถแก่นแท้ระดับหกหนึ่งล้านเม็ดเลย ต่อให้เป็นหนึ่งหมื่นเม็ดเขาก็เอาออกมาไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้าของหลัวซิว องครักษ์ทั้งสองจึงแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น พลางคิดในใจว่าแค่ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่เป็นหนุ่มขาดประสบการณ์ที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่โอสถแก่นแท้ระดับหกหนึ่งล้านเม็ดยังควักออกมาไม่ได้ แล้วจะมีทางเป็นนักกลั่นยาระดับหกได้อย่างไร?
นักกลั่นยาที่มีความมั่นใจมาเข้ารับการประเมินระดับหกนั้น การที่จะควักโอสถแก่นแท้ระดับหกหนึ่งล้านเม็ดออกมานั้น มันไม่ใช่ปัญหาอะไรเลยด้วยซ้ำ
“หากข้าต้องการเข้าร่วมการประเมินระดับห้าล่ะ? ต้องจ่ายโอสถแก่นแท้เท่าไหร่?”หลัวซิวถาม
“โอสถแก่นแท้ระดับห้าสามล้านเม็ด”องครักษ์คนหนึ่งตอบกลับด้วยใบหน้าหน้าที่เย็นชา
หลัวซิวรู้สึกหมดคำจะพูดโดยสิ้นเชิงแล้ว แค่ค่าใช้จ่ายนี้ หอโอสถศักดิ์สิทธิ์ต้องร่ำรวยมากแน่นอน
ทว่านอกเหนือจากกลั่นยาให้ตนเองแล้ว มิเช่นนั้นนักกลั่นยาทุกคนในโลกล้วนต้องมาเข้ารับการประเมินในหอโอสถศักดิ์สิทธิ์ มิฉะนั้นนอกจากว่าผู้อื่นจะเชื่อมั่นในตัวเจ้ามาก ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีผู้ใดมาขอให้เจ้ากลั่นยา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นักกลั่นยาก็จะไม่มีรายได้ที่น่าดู
อันที่จริงหลัวซิวก็ทราบเช่นกันว่าโอสถแก่นแท้ระดับห้าสามล้านเม็ดไม่ถือว่าเยอะ หากได้รับหลักฐานนักกลั่นระดับห้า ก็สามารถหาค่าใช้จ่ายนี้กลับมาได้อย่างง่ายดายแล้ว หากนักกลั่นยาระดับห้าคนหนึ่งหาเวลากลั่นยาโดยเฉพาะ การที่จะหาโอสถแก่นแท้สิบล้านเม็ดกลับคืนมานั้น มันไม่ใช่เรื่องยากเลย
อย่างไรก็ตาม โอสถแก่นแท้ในปัจจุบันของหลัวซิวมีน้อยเกินไปจริง ๆ หากไม่สามารถเข้ารับการประเมินนักกลั่นยา เช่นนั้นร้านค้าที่เขาเช่ามาด้วยโอสถแก่นแท้หนึ่งล้านกว่าเม็ดก็เสียเปล่าแล้วมิใช่หรือ?
หลัวซิวไม่ได้ต่อรองราคากับองครักษ์ทั้งสองคน ก่อนที่เขาจะหันหลังแล้วเดินจากไปภายใต้สายตาที่ดูหมิ่น
“บนตัวข้ายังมีเม็ดยาเซียนและต้นยาเซียนระดับห้าอยู่บ้าง อีกทั้งยังมีโอสถเวทย์อลวนอีกสองเม็ด หากนำยาทั้งหมดนี้ไปแลกเป็นโอสถแก่นแท้ จากนั้นค่อยนำโอสถแก่นแท้ไปซื้อวัตถุดิบยาเซียนต่าง ๆ มากลั่นยา ค่อยเอาออกไปขาย วิธีการนี้ก็เป็นวิธีการที่ดีเช่นกัน”
หลัวซิวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในโลกของชาวบ้านธรรมดาทั่วไป หากไม่มีเงินทองก็ทำอะไรได้ยากมาก แต่ในโลกของจอมยุทธ์ หากไม่มีทรัพยากรก็ทำอะไรได้ยากเช่นกัน
วิธีการที่เขาคิดได้นี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย แต่ขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเวลาการฝึกตนของตัวเขาเองก็จะขาดหายไปด้วย
และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏตรงหน้าเขา ขวางทางเดินของหลัวซิวเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นมามอง มองเห็นผู้อาวุโสที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีเขียวคนหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าใช่ท่านชายซิวหลัวหรือไม่?”ผู้อาวุโสชุดเขียวประสานมือทำท่าคารวะพลางพูด
“เจ้าคือผู้ใดหรือ?”หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เขาไม่รู้จักคนดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้งตัวสำนึกของเขาก็สามารถสัมผัสพลังออร่าเทพมารระดับหกได้จากตัวผู้อาวุโสคนดังกล่าวเช่นกัน
“ข้าเป็นผู้ดูแลจวนหลักของเมืองเหลยเจ๋อเจ้าเมืองน้อยของเราชื่นชมชื่อเสียงของท่านชายมานานมาก ๆ แล้ว ฉะนั้นจึงให้ข้ามาเชิญท่านชายไปพูดคุยกันหน่อย”ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียวยิ้มพลางพูด เขาไม่ได้แสดงเจตนาร้ายออกมาแต่อย่างใด คำพูดคำจาก็เกรงใจมากด้วย
หลัวซิวก็ใช้ชีวิตอยู่บนดาราธารานิลมาระยะหนึ่งแล้ว จึงย่อมเข้าใจกองกำลังทั้งหลายบนดาราธารานิลเช่นกัน เมืองเหลยเจ๋อนี่เป็นกองกำลังใหญ่กองกำลังหนึ่งที่เป็นรองเพียงหุบเขามังกรนิล
หลัวซิวไม่มีอารมณ์ไปพบเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองเหลยเจ๋อนั่น แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนดาราธารานิลอีกระยะหนึ่ง จักเป็นศัตรูกับผู้อื่นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบตกลง
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ภายใต้การโน้มนำของผู้อาวุโสชุดเขียวนั่น หลัวซิวก็มาถึงภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองมังกรนิลที่ตกแต่งได้หรูหราโอ่อ่า
ณ ห้องพิเศษห้องหนึ่ง หลัวซิวได้พบเจอกับเจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองเหลยเจ๋อนั่น ในขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าฝ่ายตรงข้ามยังหนุ่ม แต่ผลการฝึกตนกลับเป็นเทพมารระดับห้าช่วงกลางแล้ว
“เหอะ ๆ ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของสหายหลัวมานาน วันนี้ถึงมีโอกาสได้พบ เชิญนั่งก่อน เชิญนั่ง!”เจ้าเมืองน้อยค่อย ๆ ลุกตัวขึ้น ลักษณะท่าทางก็ดูมีมารยาทมากเช่นกัน
หลังจากนั่งลงแล้ว เขาก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นมา: “ขอแนะนำตัวก่อน ข้าน้อยเหลยเทียนฟาง หากสหายหลัวไม่รังเกียจละก็ สามารถเรียกข้าว่าสหายเหลย”
“สหายเหลยเกรงใจไปแล้ว”หลัวซิวก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาเช่นกัน บอกใบ้ให้ฝ่ายตรงข้ามครั้งหนึ่ง ก่อนจะดื่มจนหมดถ้วยภายในอึกเดียว
เขาไม่กังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะวางยาพิษในเหล้า ถึงแม้จะมีพิษบ้างประเภทที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้ายังต้านทานไม่ได้ แต่หลัวซิวรู้ตัวเองดีอยู่ว่าฐานร่างของตัวเองพิเศษ พิษทั่วไปทำอะไรเขาไม่ได้ หากเป็นยาพิษชั้นยอด จากตำแหน่งตัวตนของเหลยเทียนฟางนี่ ก็ไม่มีทางหามาได้เช่นกัน
หลังจากดื่มเหล้าเสร็จ หลัวซิวจึงพูดเข้าประเด็นโดยตรง “ไม่ทราบว่าสหายเหลยขอพบข้าเพราะมีเรื่องอันใดหรือ?”
เหลยเทียนฟางหัวเราะแล้วพยักหน้า “สหายหลัวช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาเสียจริง สำหรับคุณูปการที่สหายหลัวสร้างไว้หลังจากมาถึงดาราธารานิลนั้น แซ่เหลยก็เคยได้ยินอยู่บ้าง ข้าเห็นว่าผลการฝึกตนของสหายหลัวอยู่ในแดนเทพมารระดับสี่ขั้นสูงแล้ว คิดว่าน่าจะกำลังเครียดอกับปัญหาการวางแผนบรรลุสู่เทพมารระดับห้าอยู่สินะ?”
“ใช่ ไม่ทราบว่าสหายเหลยมีคำแนะนำอะไรหรือไม่?”หลัวซิวยิ้มพลางถาม
ผู้อาวุโสชุดคลุมยาวเขียวที่อยู่ข้าง ๆ เดินตรงมา วางขวดหยกขวดหนึ่งลงบนโต๊ะ ถัดจากนั้นเหลยเทียนฟางก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “ภายในขวดหยกนี้มีโอสถลิขิตอัมพรเทวหนึ่งเม็ด ซึ่งเป็นยาเซียนที่สามารถทำให้บรรลุสู่เทพมารระดับห้า ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่แซ่เหลยมอบให้ก็แล้วกัน หวังว่าจะสามารถช่วยให้สหายหลัวมีการบรรลุนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลัวซิวก็หลุดหัวเราะออกมา ของอย่างโอสถลิขิตอัมพรเทวไม่มีประสิทธิผลต่อเขาเลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่แดนบรรลุเลย แค่การฝึกตนในวันธรรมดาทั่วไปยังทำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ครั้นเมื่อเขาบรรลุสู่แดนมกุฎเทพ สิ่งที่ใช้ยิ่งเป็นยาเซียนระดับหกอย่างโอสถเวทย์อลวน
หลัวซิวไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหลยเทียนฟางนี่จึงต้องมอบยาให้ตนเอง ทว่าโอสถลิขิตอัมพรเทวหนึ่งเม็ดมันไม่มีมูลค่าที่มากมายเช่นนั้นจริง ๆ เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้ยื่นมือออกไปรับมา
“สหายเหลยอาจจะยังไม่ทราบ ตัวแซ่หลัวเองก็เป็นนักยาเซียนระดับห้าคนหนึ่งเช่นกัน”หลัวซิวค่อย ๆ พูด จุดประสงค์ที่เขาพูดคำพูดนี้ออกมามันชัดเจนมาก ๆ แล้ว นักยาเซียนระดับห้าคนหนึ่งย่อมไม่นำโอสถลิขิตอัมพรเทวหนึ่งเม็ดมาไว้ในสายตาอยู่แล้ว
เมื่อเหลยเทียนฟางได้ยินคำพูดดังกล่าว เขากลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เขาทราบเรื่องที่หลัวซิวเดินทางไปหอโอสถศักดิ์สิทธิ์ในก่อนหน้านี้จากปากองครักษ์สองคนนั้นตั้งนานแล้ว
สาเหตุที่เขาเอาโอสถลิขิตอัมพรเทวหนึ่งเม็ดออกมานั้น ก็เพื่อจะทดสอบหยั่งเชิงเช่นกัน
“เหอะ ๆ แซ่เหลยขายขำต่อหน้าสหายหลัวเลยนะ ในเมื่อสหายหลัวไม่สนใจยา ไม่ทราบว่าสนใจในต้นยาเซียนหรือไม่?”จู่ ๆ เหลยเทียนฟางก็เปลี่ยนประเด็น
ความรู้สึกบนใบหน้าหลัวซิวไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้อยู่ว่าคำพูดสุดท้ายนี้ เป็นจุดประสงค์แท้จริงที่เหลยเทียนฟางมาหาตัวเองต่างหาก
“ต้นยาเซียนระดับใดหรือ?”หลัวซิวถาม
“ต้นยาเซียนระดับเจ็ด!”เหลยเทียนฟางหรี่ตาลง “แซ่เหลยค้นพบสวนยาแดนปริศนาแห่งหนึ่ง อ้างอิงจากเบาะแสต่าง ๆ น่าจะเป็นถ้ำแห่งหนึ่งที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดคนหนึ่งทิ้งไว้ เล่ากันว่าอดีตผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดท่านนั้นคืนนักยาเซียนระดับหกคนหนึ่ง ความฝันทั้งชีวิตก็คือบรรลุเป็นราชาโอสถระดับเจ็ด ซึ่งภายในถ้ำของท่านมีโอกาสมีต้นยาเซียนระดับเจ็ดคงอยู่สูงมาก”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลัวซิวกลับหัวเราะเยือกเย็นในใจอย่างไม่หยุดหย่อน เขาไม่คิดว่าเหลยเทียนฟางจะใจดีขนาดนี้หรอกนะ พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาค้นพบถ้ำแห่งหนึ่งของผู้แข็งแกร่งทว่ากลับแบ่งปันให้ตน นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้หรือ?
ดังคำกล่าวที่ว่าในโลกนี้ไม่มีของฟรี หลัวซิวสันนิษฐานว่าคนดังกล่าวน่าจะเห็นว่าตนเคยลงมือในดาราธารานิลสองครั้ง จึงคาดเดาว่าตนเป็นอัจฉริยะมกุฎเทพระดับสี่ที่มาจากกองกำลังใหญ่ ซึ่งจักลงมือต่อเขาโดยตรงไม่ได้ ทว่ากลับวางแผนที่จะหาข้ออ้างและโอกาส จากนั้นค่อยวางแผนแก่งแย่งโชคและโอกาสบนตัวเขา
บนตัวอัจฉริยะระดับมกุฎเทพที่กำเนิดจากกองกำลังใหญ่ไม่มีทางไม่มีของดี ต่อให้ไม่มี อย่างไรตัวเหลยเทียนฟางก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไรอยู่แล้ว
แท้จริงแล้วตัวเหลยเทียนฟางเองก็ทราบเช่นกันว่าการทำเช่นนี้มันดูโจ่งแจ้งไปหน่อย ทว่าอันที่จริงในขั้นตอนนี้ เขาก็ตั้งใจที่จะลองทดสอบหยั่งเชิงเช่นกัน เขาเชื่อว่าขอแค่หลัวซิวนี่ไม่ใช่คนโง่ ก็ไม่มีทางตอบตกลงไปพร้อมตัวเองแน่นอน ในเมื่อเขายิ่งไม่กล้า ก็ยิ่งแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่มีความมั่นใจ มาตรแม้นว่าจะมีภูมิหลังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ภูมิหลังที่แข็งแกร่งอะไร
ในส่วนของเรื่องที่ว่าถ้าเกิดเขากล้าไปพร้อมตนเองละก็ กลับเป็นตัวเหลยเทียนฟางเองที่ต้องพิจารณาดี ๆ ว่าจะกล้าลงมือต่อเขาหรือไม่
“สหายเหลยคงไม่ได้เชื้อเชิญข้าเพียงคนเดียวหรอกกระมัง?”จู่ ๆ หลัวซิวก็ถามเช่นนี้
เมื่อเขาพ่นคำถามนี้ออกมา จึงทำให้รูม่านตาของเหลยเทียนฟางหดลงเล็กน้อย พลางพูดในใจว่าเจ้าหมอนี่กล้าไปพร้อมกันจริงหรือ? เขาคิดจริง ๆ หรือว่าตนไม่กล้าลงมือ?
แต่อันที่จริงสาเหตุที่หลัวซิวกล้าตอบตกลงนั้น ไม่ได้เป็นเพราะเขามีภูมิหลังอะไรแล้วไม่กลัวฝ่ายตรงข้ามลงมือ แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้นำคนอย่างเหลยเทียนฟางมาไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
เท่าที่เขาทราบมา ถึงแม้บนดาราธารานิลจะมีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดคงอยู่ แต่จำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ต้องมีไม่มากอย่างแน่นอน นอกจากประมุขหุบเขามังกรนิลที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ก็มีเพียงเจ้าเมืองเหลยเจ๋อและเมืองหยุนเมิ่งที่เป็นเทพมารระดับเจ็ด
เวลาส่วนมากเทพมารระดับเจ็ดทั้งสามคนนั้นล้วนอยู่ในการฝึกตนปิดขัง และเหลยเทียนฟางก็ไม่มีทางสามารถเชิญผู้แข็งแกร่งระดับนั้นออกมาจัดการตัวเองได้แน่นอน
สำหรับหลัวซิวแล้ว ขอแค่ไม่มีการข่มขู่จากผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ด คนอื่นที่เหลือไม่ว่าผู้ใดจะมา เขาก็ไม่กลัวแม้แต่คนเดียว