มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 2681 พลังออร่ามากมายมหาศาล
นอกจากอาวุธเทพมหาศักดิ์ที่ถูกยึดกุมอยู่ในมือผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งทุกคน ทหารจักรวรรดิเลิศล้ำก็ถือเป็นสมบัติชั้นสุดยอดแล้ว
ยิ่งกว่านั้นคือทหารจักรวรรดิเลิศล้ำที่เทพมารระดับแปดคนหนึ่งยึดกุมนั้น เพียงพอที่จะสามารถต่อกรกับเทพมารระดับเก้าทั่วไปได้ด้วย!
กระทั่งบัดนี้ ผู้คนในสำนักเซียนต้าโหลวถึงจะถือว่าทราบอย่างแท้จริงว่าเหตุใดภูเขาว่านเริ่นถึงไม่ได้นำสำนักเซียนต้าโหลวมาไว้ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ต่อให้มีอาจารย์ปู่ระดับเทพมารระดับเก้าคุ้มกันรักษาแล้วอย่างไร? แค่อาศัยพลานุภาพของทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ ภูเขาว่านเริ่นก็ไม่เกรงกลัวเลยด้วยซ้ำ!
ในส่วนของกองกำลังอื่น ๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุนั้น ก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปหมดแล้ว แม้นการเปิดหุบเขาสยบปีศาจจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นพกอัญบัลลังก์แห่งสำนักมาด้วย ประมุขเขาว่านเริ่นลวี่โหลวยึดกุมทหารจักรวรรดิเลิศล้ำหนึ่งชิ้น เขาจึงเป็นผู้ที่มีสิทธิ์มีเสียง ณ ที่แห่งนี้มากที่สุดอย่างแน่นอน
“ดูดจิต ลงไป”
จากการที่หลัวซิวเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง ลำตัวที่ใหญ่โตมโหฬารของดูดจิตก็จุติลงมาจากนภาสูง กำลังคนจากกองกำลังทั้งหลายที่มาจากอาณาจักรตะวันออกแห่งโลกร้างต่างพากันหลบเลี่ยง เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีคนกล้าขัดขวางเลยด้วยซ้ำ
มาตรแม้นว่าเป็นซื่อจื่อแปดแห่งตระกูลต้าฉินที่เจริญรุ่งเรืองอย่างสุดขีดเหมือนดวงตะวันกลางฟ้าจะพาปีศาจขี่กาศนภามาด้วย เวลานี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน
หลัวซิวกระโดดลงไปจากเหนือศรีษะดูดจิต ย่างเท้ามาถึงทางเข้าหุบเขาสยบปีศาจ ทางเข้าคือประตูประภาศิตสีทองสองบาน ทั้งหุบเขาสยบปีศาจเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่กลางหมอกที่ขมุกขมัว
ปกติหุบเขาสยบปีศาจจะอำพรางอยู่ในอนัตตามาโดยตลอด ซึ่งจะปรากฏแค่บางช่วงที่ไร้กฎเกณฑ์ เฉกเช่นวินาทีนี้
ในส่วนของประตูประภาศิตทั้งสองบานของหุบเขาสยบปีศาจนั้น ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนพยายามใช้อำนาจทลายมันมาก่อน ทว่ากลับไม่เคยมีคนทำสำเร็จเลย มาตรแม้นว่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้ามาถึง ก็ทำอะไรไม่ได้
ลวี่โหลวเดินตามอยู่ด้านหลังหลัวซิว สายตาของผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังทั้งหลายที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความระแวดระวัง พลานุภาพของทหารจักรวรรดิเลิศล้ำมันทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้จริง ๆ
ศักยภาพของกงหยางฉวนที่ยึดกุมอาวุธเทพระดับเก้าก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลานุภาพของทหารจักรวรรดิเลิศล้ำแล้ว สุดท้ายก็ถูกสังหารภายในเสี้ยววินาทีอยู่ดีมิใช่หรือ?
“ข้าไม่อยากพูดคำพูดไร้สาระเป็นครั้งที่สอง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปพสุธาห้วงดาราที่หุบเขาสยบปีศาจคงอยู่จักตกเป็นอาณานิคมของข้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าก็คือจ้าวแห่งหุบเขาสยบปีศาจ!”
หลัวซิวก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าประตูประภาศิตทั้งสองบานตรงทางเข้าหุบเขาสยบปีศาจ เขากวาดมองผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ด้วยแววตาที่เยือกเย็น “ให้เวลาพวกเจ้าออกจากสถานที่แห่งนี้ภายในเวลาสิบลมหายใจ มิเช่นนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องกลับแล้วล่ะ!”
เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา ก็มีความเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าเหล่าผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้นำของกองกำลังทั้งหลาย หากผู้ที่พูดคำพูดดังกล่าวออกมาคือประมุขเขาลวี่โหลว บางทีพวกเขาอาจไม่เป็นเช่นนี้ ทว่าชายหนุ่มคนนี้คือผู้ใด? เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดจาโอหังเช่นนี้?
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังทั้งหลายไม่เข้าใจมากกว่านั้นคือ ประมุขเขาลวี่โหลวที่ยึดกุมทหารจักรวรรดิเลิศล้ำถึงขั้นเดินตามอยู่ด้านหลังชายหนุ่มคนนั้นอย่างนั้นหรือ ประหนึ่งเบื้องล่างที่จงรักภักดี นี่จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยต่างคาดเดาว่า ตกลงชายหนุ่มคนนี้มีภูมิหลังและความเป็นมาที่น่าทึ่งอย่างไรกันแน่?
“คนดังกล่าวมีนามว่าหลัวซิว เล่ากันว่าเป็นศิษย์ใจกลางคนใหม่ของภูเขาว่านเริ่น”สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับภูเขาว่านเริ่นในช่วงนี้นั้น กองกำลังทั้งหลายก็พอเข้าใจอยู่บ้าง ต่างเคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับศิษย์ใจกลางคนใหม่อยู่
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยมากเข้าไปใหญ่ เหตุใดศิษย์ใจกลางเล็ก ๆ คนหนึ่งถึงจองหองเช่นนี้? สามารถทำให้ประมุขเขาลวี่โหลวคอยเดินตามอยู่ด้านหลังเขาดั่งเบื้องล่างเลยหรือ?
นี่มันศิษย์ใจกลางอะไร นี่มันเหมือนอาจารย์ปู่ของภูเขาว่านเริ่นชัด ๆ!
“แม้นภูเขาว่านเริ่นของเจ้าจะมีทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ แต่ก็ไม่ควรจองหองเช่นนี้ เจ้าจักยึดครองหุบเขาสยบปีศาจคนเดียว ก็ต้องถามก่อนว่ากองกำลังทั้งหลายในอาณาจักรตะวันออกแห่งโลกร้างเห็นด้วยหรือไม่”
เรื่องราวดำเนินการมาจนถึงวินาทีนี้ ในที่สุดซื่อจื่อแปดแห่งตระกูลต้าฉินก็เอ่ยปากพูดอย่างอดกลั้นต่อไปไม่ไหว
ทันทีที่เขาเอ่ยปากพูด ก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังทั้งหลายพูดคล้อยตาม
“ซื่อจื่อแปดพูดถูก มีทหารจักรวรรดิเลิศล้ำไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ไร้เทียมทาน ตระกูลต้าฉินมีราชาเทพระดับเก้า การที่จะกดอัดภูเขาว่านเริ่นของพวกเจ้านั้น ก็สามารถทำได้ภายในเวลาเพียงแวบเดียวเท่านั้น!”
“ไม่ใช่แค่ตระกูลต้าฉินเท่านั้นที่มีราชาเทพ สำนักตงหลิงเซิ่งยิ่งมีบรรพอาจารย์มกุฎเทพระดับเก้าคงอยู่ในโลกใบนี้อีกด้วย!”
“……”
สำหรับคำพูดเหล่านี้ของผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังทั้งหลายนั้น หลัวซิวเบื่อที่จะตอบโต้เลยด้วยซ้ำ เขาพูดไปตั้งนานแล้วว่าเขาจักไม่พูดคำพูดไร้สาระเป็นครั้งที่สอง
ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีอิทธิพลมาก การที่จะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ นานาบนวิถียุทธ์จนฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับเก้าได้นั้น มันยากลำบากมากเพียงใด?
เทพมารระดับเก้าทุกคนล้วนสามารถริเริ่มการถ่ายทอดสืบสานที่ไม่ด้อยกว่าระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ มีภูมิฐานแน่นหนา ลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้
มาตรแม้นว่าภูเขาว่านเริ่นจะมีทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าคอยคุ้มกันรักษาเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งไม่สามารถปลดปล่อยพลานุภาพที่แท้จริงของทหารจักรวรรดิเลิศล้ำออกมาได้เลยด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้นคือทหารจักรวรรดิเลิศล้ำเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนอิจฉาริษยา เพราะนั่นมันสมบัติที่แม้แต่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้ายังใฝ่หามาก ๆ เชียวนะ การที่ภูเขาว่านเริ่นเปิดเผยอุบายไพ่เด็ดเช่นนี้ออกมานั้น คนส่วนมากล้วนมองว่านี่เป็นการรนหาที่ตายชัด ๆ
และในเวลานี้เอง กองกำลังทั้งหลายก็ใช้อุบายเคล็ดวิชาต่าง ๆ แพร่งพรายข่าวคราวที่ภูเขาว่านเริ่นมีทหารจักรวรรดิเลิศล้ำออกไป ใช้เวลาไม่นาน ต้องมีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานก้าวข้ามผ่านอนัตตาแล้วย่างกรายมายังสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
สำหรับการก่อกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างลับ ๆ ของกองกำลังทั้งหลายนั้น ไม่ต้องบอกหลัวซิวก็คิดได้แล้ว เขานำมือทั้งสองข้างวางลงบนประตูประภาศิตทั้งสองบานตรงทางเข้าหุบเขาสยบปีศาจ ก่อนจะเคาะด้วยจังหวะพิเศษที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความล้ำลึกเบา ๆ
ตั้งแต่โบราณกาลมา ยังไม่มีผู้ใดสามารถเปิดหุบเขาสยบปีศาจได้ มีเพียงเจ้าหุบเขาสยบปีศาจแสดงตนด้วยตนเอง ประตูประภาศิตถึงจะหายไป และคนอื่น ๆ ถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปตามหาสมบัติในหุบเขา
อดีตก็เคยมีผู้ชนะวิถีค่ายระดับเทพระดับเก้า ตลอดจนผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานระดับจักรพรรดิเทพระดับเก้าเสาะหาวิธีเปิดหุบเขาสยบปีศาจเช่นกัน ทว่าสุดท้ายล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกช็อกเป็นอย่างยิ่งคือ เมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูประภาศิตทั้งสองบานของหุบเขาสยบปีศาจ แล้วใช้นิ้วมือทั้งสองข้างเคาะลงบนประตูประภาศิตเบา ๆ ก็มีระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยเนื้อตาเปล่ากระเพื่อมขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่บนประตูประภาศิต ไม่นึกเลยว่าจะมีลางที่หุบเขาสยบปีศาจจะเปิดออกปรากฏ!
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!?
นี่เป็นความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่ปรากฏในหัวทุกคน เนื่องจากเรื่องนี้มันเหลือเชื่อมากเกินไปแล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกมึนงงอยู่นั้น ประตูประภาศิตก็หายไปแล้ว ส่วนเงาร่างของหลัวซิวก็กระพริบแล้วหายไปโดยตรง เข้าไปในหุบเขาสยบปีศาจ
ถัดจากนั้นพวกลวี่โหลวก็พากันหายเข้าไปในตำแหน่งของประตูประภาศิตเช่นกัน เงาร่างของแต่ละคนหายวับไปแล้ว
ร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬารของดูดจิตสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย พาศิษย์จำนวนมากในตระกูลเทพสงคราม เผ่าจี้รวมไปถึงภูเขาว่านเริ่นเข้าไปในหุบเขาสยบปีศาจหมดแล้ว
“หุบเขาสยบปีศาจเปิดออกแล้ว!”
ผู้แข็งแกร่งจากกองกำลังทั้งหลายต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มันแปลกประหลาดมากเกินไปแล้ว อดีตทุกครั้งที่หุบเขาสยบปีศาจเปิดออก ทุกคนล้วนจะพุ่งเข้าไปอย่างอดใจรอไม่ไหว แต่ครั้งนี้พวกเขากลับรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
“ซื่อจื่อ……”ผู้บัญชาการนำปีศาจขี่กาศนภาคนหนึ่งเดินมาข้างกายซื่อจื่อแปด หุบเขาสยบปีศาจเปิดออกแล้ว ตกลงจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปนั้น ต้องให้ซื่อจื่อแปดเป็นผู้ตัดสินใจอยู่แล้ว
“อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่ามจักดีกว่า คอยบรรพอาจารย์ย่างกรายมาถึงค่อยว่ากันอีกที”ซื่อจื่อแปดโบกมือไปมา เขม็งมองทางเข้าหุบเขาสยบปีศาจพลางแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “เมื่อเปรียบเทียบกับหุบเขาสยบปีศาจแล้ว ทหารจักรวรรดิเลิศล้ำสามารถทำให้เหล่าบรรพอาจารย์ใจเต้นโครม ๆ ได้มากกว่า!”
กงหยางฉวนถูกสังหาร สำนักเซียนต้าโหลวสั่นสะเทือนอีกครั้ง หลังจากทราบข่าวว่าภูเขาว่านเริ่นถึงขั้นมีทหารจักรวรรดิเลิศล้ำ บรรพจารย์ต้าโหลวที่คอยปกปักรักษาอยู่ในส่วนลึกของสำนักเขามาโดยตลอดก็ออกจากการปิดขังเช่นกัน ฉีกกระชากอนัตตาอย่างไม่ลังเลใจ ก่อนจะมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางของหุบเขาสยบปีศาจโดยตรง
เมื่อประเมินจากทั้งอาณาจักรตะวันออกแห่งโลกร้าง การปรากฏของทหารจักรวรรดิเลิศล้ำเพียงพอที่จะสามารถทำให้เฒ่าประซ่อนหลาดเร้นทุกคนหวั่นไหวได้
ภายในเวลาชั่วขณะ มีพลังออร่าอันน่าทึ่งที่มโหฬารพันลึกแผ่กระจายออกไปจากอาณาจักรตะวันออกแห่งโลกร้างอยู่เป็นระยะ สายตาที่นับไม่ถ้วนล้วนจับจ้องไปยังพสุธาห้วงดาราที่เป็นที่ตั้งของหุบเขาสยบปีศาจ
……
“หุบเขาสยบปีศาจ!”
เดินเข้าไปในหุบเขาสยบปีศาจ หลัวซิวเบิ่งมองฟ้าดินผืนนี้ ที่นี่เคยมีลายค่ายนับไม่ถ้วนที่เขาสลักวาดด้วยมือตนเอง ระหว่างฟ้าดินมีแก่นสารพลังจิตที่เข้มข้นถึงขีดสุดเชี่ยวกราก
ฟ้าดินภายในหุบเขาสยบปีศาจได้ประกอบขึ้นมาเองตามธรรมชาติ พื้นที่ฟ้าดินผืนนี้ไม่กว้างใหญ่มากนัก แต่ก็กว้างใหญ่กว่าพสุธาห้วงดาราด้านนอกอย่างแน่นอน ที่นี่มีกลุ่มภูเขาที่ระดับความสูงแตกต่างกัน มีแม่น้ำใหญ่ที่ไหลเชี่ยวอย่างไม่หยุดหย่อน และยิ่งมีมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ซึ่งหล่อเลี้ยงสมบัติของล้ำค่าพิสดารต่าง ๆ ออกมามากจนนับไม่ถ้วน
“ไป”
หลัวซิวกระโดดขึ้นมาเหนือศีรษะดูดจิต ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปทางส่วนลึกของหุบเขาสยบปีศาจ
“นั่นคืออะไรขอรับ?”
ทันใดนั้นเอง ก็มีลูกศิษย์เผ่าจี้อุทานอย่างตะลึง แล้วใช้นิ้วชี้ไปทางจุดสีดำที่อยู่บนท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไป
จากการที่ยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใกล้จุดสีดำดังกล่าว สีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยก็ต่างเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อมองจากที่ไกล ๆ มันคือจุดสีดำหนึ่งจุด ทว่าเมื่อประชิดใกล้แล้วถึงจะพบว่ามันคือสัตว์ปีกทมิฬดุร้ายที่เมื่อกางปีกทั้งสองข้างออกมาแล้ว มันก็มีความยาวเกือบสามพันเมตรเลย!
ขนตามตัวมันคือขนสีดำที่มันวาว เมื่อกลางปีกแล้วยาวเกือบสามพันเมตร บนหัวมีหงอน เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันคือราชาวิหคนิล!
พลังออร่าของราชาวิหคนิลตัวนี้ดุดันแข็งแกร่ง ซึ่งศักยภาพของมันไม่อ่อนกว่าผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดอย่างแน่นอน
ลวี่โหลวจะลงมือทันที แต่กลับถูกหลัวซิวโบกมือหยุดยั้งเอาไว้ก่อน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง: “ภายในหุบเขาสยบปีศาจมีอสูรกายที่แข็งแกร่งเยอะมาก ผู้ที่ผลการฝึกตนสูงอย่าเข่นฆ่าที่นี่ ให้ผู้ที่มีผลการฝึกตนเหมาะสมไปขัดเกลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากอสูรกายเหล่านั้นจักดีที่สุด”
“ผู้อาวุโสจงหลี ราชาวิหคนิลตัวนี้ฝากให้ท่านด้วยล่ะ”หลัวซิวมองไปทางจงหลีโป๋พลางพูด
จงหลีโป๋ก้าวเดินออกมาหลังจากได้ยิน ก่อนจะกลายร่างเป็นแสงกลรุ้งยาวดวงหนึ่ง แล้วบินตรงไปยังทิศทางที่ราชาวิหคนิลตัวนั้นบินมา
เมื่อหลายแสนล้านปีก่อน อสูรกายที่มีคุณสมบัติถูกหลัวซิวเก็บไว้เลี้ยงและแพร่พันธุ์อยู่ในหุบเขาสยบปีศาจได้นั้น ล้วนเป็นอสูรกายที่มีสายเลือดกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่ง แม้นผลการฝึกตนของจงหลีโป๋จะเป็นเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูง แต่เมื่อปะทะกับราชาวิหคนิลตัวนี้แล้ว กลับโค่นล้มได้ยากมากเหมือนกัน ไม่ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย
ขนของราชาวิหคนิลแข็งแกร่งดั่งเหล็กเซียน สมบัติอาวุธเทพระดับเจ็ดไม่สามารถทลายเกราะป้องกันของมันได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่าราชาวิหคนิลก็มีสติปัญญาในระดับที่แน่นอนเช่นกัน เมื่อสังเกตเห็นว่าในตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมีผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังจ้องตาเป็นมัน ฉะนั้นมันจึงไม่ได้พัวพันอยู่กับจงหลีโป๋ ปีกทั้งสองข้างสั่นเทิ้ม กลายร่างเป็นพายุดำลูกหนึ่ง หายไปจากท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไปไกล
นี่จึงทำให้จงหลีโป๋รู้สึกไม่เป็นสุขเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็ตระหนักข้อบกพร่องของตนได้เช่นกัน กลับไปบนหลังดูดจิต แล้วเริ่มขบคิดจุดบกพร่องในการฝึกตนบนวิถียุทธ์ของตัวเอง
หลัวซิวรู้สึกพึงพอใจต่อสิ่งนี้มาก อสูรกายที่ใช้ชีวิตแพร่พันธุ์อยู่ในหุบเขาสยบปีศาจล้วนไม่ธรรมดา ซึ่งสามารถปลุกเร้าให้ผู้คนที่อยู่รอบกายเขาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ช่วงเวลาถัดจากนี้ เป็นช่วงเวลาที่ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ทุกคนไม่อาจลืมเลือน ราชาวิหคนิลที่อยู่ในนี้เป็นเพียงอสูรกายที่ธรรมดามาก ๆ หลังจากเข้าไปยังส่วนที่ลึกกว่าของหุบเขาสยบปีศาจแล้ว ถึงขั้นมีอสูรยักษ์เทพมารระดับเก้า และราชามารที่ลักษณะท่าทางเหิมเกริมดุดันปรากฏอยู่เป็นระยะ
อสูรกายระดับนี้ไม่ใช่พวกหลัวซิว ณ วินาทีนี้สามารถต่อกรได้ด้วยอยู่แล้ว แต่หลัวซิวกลับสามารถควบคุมลายค่ายทั้งหมดในหุบเขาสยบปีศาจ และเขาก็ไม่ได้กำจัดอสูรยักษ์ ราชามารเทพมารระดับเก้าเหล่านั้นทิ้งเช่นกัน แต่เป็นการกระตุ้นลายค่ายเพื่อทำให้พวกมันตกใจแล้วหนีไป
ระหว่างทาง สามารถพูดได้เลยว่าทุกคนต่างมีจิตใจที่คอยระมัดระวังอย่างมาก มีเพียงลาร์คนเดียวเท่านั้นที่ตื่นเต้นดีใจอ่างยิ่ง เนื่องจากครั้นเมื่อเขาติดตามนายท่าน เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาสยบปีศาจนานมาก ๆ